วัดท่ากระดาษ ตำบลฟ้าฮ่าม อำเภอเมืองเชียงใหม่ 38 ถนนฟ้าฮ่าม ตำบลฟ้าฮ่าม อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ 50100 โทรศัพท์:053-247-393 สร้างเมื่อปี พ.ศ. 1934
ประวัติความเป็นมาของวัดท่ากระดาษซึ่งกล่าวไว้ในตำนานเล่าสืบกันมาว่า เมื่อพระเจ้ากือนาธรรมิกราช กษัตริย์องค์ที่ 8 แห่งราชวงศ์มังราย ผู้ครองเมืองเชียงใหม่ เสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 1943 (จุลศักราช 762 ปีชวด โทศก) บรรดาขุนนาง ข้าราชการและไพร่บ้านพลเมือง ได้อัญเชิญพ่อท้าวแสนเมืองมา ผู้เป็นพระราชโอรสขึ้นเสวยราชย์สืบต่อมา ก่อนที่จะมีพิธีราชาภิเษกขึ้นนั้น เจ้าท้ามหาพรหมผู้เป็นพระเจ้าอาว์ซึ่งครองเมืองเชียงราย คิดการกบฏยกกองทัพจากเมืองเชียงรายมาแย่งชิงราชสมบัติจากพระองค์ แต่ถูกกองทัพเชียงใหม่ภายใต้การนำของขุนพลแสนผานองโจมตีจนพ่ายและหนีไปอาศัยอยู่ที่เมืองวชิรปราการ (กำแพงเพชร) ต่อมาเจ้าท้าวมหาพรหม เกิดเรื่องกินใจกับเจ้าเมืองกำแพงเพชร จึงได้อพยพกลับมาเชียงใหม่ และขอพระราชทานอภัยโทษ พระเจ้าแสนเมืองมาก็โปรดพระราชทานอภัย แล้วให้ไปครองเมืองเชียงรายตามเดิม ในการกลับจากกำแพงเพชรครั้งนั้น เจ้าท้าวมหาพรหมอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ มาถวายพระเจ้าแสนเมืองมาด้วย พระพุทธสิหิงค์นั้น ตำนานสิงหนปฏิมา และชินกาลมาลีปกรณ์ กล่าวว่า สร้างที่เมืองอนุราชสิงหน ประเทศศรีลังกา และพ่อขุนรามคำแหงเป็นผู้แต่งราชทูตไปขอ พระเจ้าแสนเมืองมานำพระพุทธสิหิงค์องค์นี้ไปประดิษฐาน ณ วัดเชียงพระ (วัดพระสิงห์) ต่อมาเจ้าท้าวมหาพรหม ได้ยืมพระพุทธสิหิงค์ไปเป็นแม่พิมพ์หล่อจำลอง ณ เมืองเชียงราย เมื่อจำลองสำเร็จแล้ว ได้อัญเชิญลงเรือกลับเชียงใหม่ทางลำน้ำ และมาขึ้นท่าที่สบฝางกุสะนคร (เมืองฝาง)แล้วอัญเชิญประดิษฐาน บนหลังช้างเดินทางต่อมาถึงเชียงดาว จากนั้น อัญเชิญลงเรือพายมาตามลำน้ำแม่ระมิงค์ (แม่น้ำปิง) มาถึงเชียงใหม่ ที่ท่าน้ำเหนือท่าเจดีย์งาม (หน้าเทศบาลนครเชียงใหม่ปัจจุบัน) ต่อมาท่าน้ำที่นำพระพุทธสิหิงค์ขึ้น ได้ชื่อว่า ท่าวังสิงห์คำ ขณะที่นำพระพุทธสิหิงค์มาถึงนั้นได้เกิดปาฏิหาริย์ขึ้นคือ ท้องฟ้าที่สว่างไสวกลับมืดครึ้มลงทันทีทันใด และแสงรัศมีจากองค์พระพุทะสิหิงค์พวยพุ่งไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นลำแสงสีทองอร่ามตา มีความยาวประมาณสองพันวา ซึ่งต่อมาพระเจ้าแสนเมืองมาโปรดให้สร้างวัดขึ้น ณ ตำบลที่แสงรัศมีอันงดงามอร่ามตาของพระพุทธสิหิงค์ทอดไปถึง และตั้งชื่อวัดนั้นว่า วัดฟ้าฮ่าม (ฮ่าม แปลว่า อร่าม) ตำนานกล่าวต่อไปว่า เมื่อรัศมีอันอร่ามตาของพระพุทธสิหิงค์สิ้นสุดลง ณ วัดฟ้าฮ่าม ประกายของรัศมีซึ่งทอดลงบริเวณ วัดท่าพลู (วัดท่าปู) และ บ้านท่าพลู (บ้านท่าปู) ทำให้บริเวณดังกล่าวกลายเป็นสีเหลืองอ่อนโดยทั่ว กระทั่งใบพลูที่ชาวบ้านปลูกกันไว้ทุกครัวเรือนก็กลับกลายสีไปด้วยคือ จากสีเขียวเป็นสีเหลืองเรื่อเรืองคล้ายพลูคำ (ใบพลูทอง) อย่างน่าอัศจรรย์ แต่นั้นมาชาวบ้านจึงเรียยกว่าวัดท่าพลู เป็น วัดท่าพลูเหลือง กาลต่อมากระแสน้ำปิงได้เปลี่ยนทางเดิน ทำให้สายน้ำไหลมาเซาะฝั่งทลายลง กระทั่งใกล้เขตวัดท่าพลูเหลือง ทุกขณะ ชาวบ้านเห็นว่าจะเกิดความเสียหายและเป็นอันตราย จึงพร้อมใจกันย้ายวัดไปตั้งทางทิศตะวันออก ห่างจากที่เดิมปราณ 1 กิโลเมตร ปัจจุบันสถานที่ตั้งเดิมของวัดท่าพลูเหลือง เป็นสวนลำไย โดยยังคงเหลือซากอิฐ และแนวกำแพงวัด ให้เห็นอยู่เป็นบางส่วน หลังจากย้ายวัดไปตั้งอยู่ที่ใหม่แล้ว ชาวบ้านยังคงใช้ประโยชน์ของท่าน้ำแห่งนั้นร่วมกัน พ่อค้าเรือแพหลายเผ่าพันธุ์ที่ล่องแพมาจะจอดแพเพื่อขนถ่ายสินค้าเป็นประจำ ต่อมามีการผลิตกระดาษสาในบริเวณ ท่าพลูเหลือง ชาวบ้านจึงเรียก ท่าพลูเหลือง เป็นท่ากระดาษ ทั้งนี้คงจะหมายถึงบริเวณว่าบริเวณนั้นมีการทำกระดาษสานั่นเอง วัดท่าพลูเหลือง จึงได้รับการขนานนามว่า วัดท่ากระดาษ ตามไปด้วย
จากประวัติความเป็นมา วัดท่ากระดาษสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าแสนเมืองมา ไม่ปรากฏชื่อผู้สร้าง แต่เดิมชื่อว่า ?วัดท่าพลูเหลือง? ต่อมาเปลี่ยนเป็น ?วัดท่ากระดาษ? ตามอาชีพการทำกระดาษสาของชาวบ้านในละแวกนี้ แต่ทว่าในปัจจุบันไม่มีผู้ประกอบอาชีพทำกระดาษสาในชุมชนบริเวณนี้แล้ว
ในส่วนสิ่งที่น่าสนใจในวัด อย่างแรก คือพระวิหารสถาปัตยกรรมล้านนา เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน หน้าบันแบ่งออกเป็นช่องตามลักษณะโครงสร้างม้าต่างไหม คล้ายกับฝาประกนของบ้านภาคกลาง แต่ละช่องประดับด้วยลายปูนปั้นรูปดอกบัวบนเกลียวคลื่น แต่งด้วยกระจกสี และมีสองช่องที่เป็นรูปงู ส่วนที่บันไดตรงราวด้านหน้า เป็นมกรคายนาคสามเศียร และราวบันไดด้านข้างพระวิหารเป็นรูปเสือมีหางเป็นพญานาค
ทั้งนี้ ภายในพระวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย (พระเจ้าทันใจ) ซึ่งได้ทราบจากท่านเจ้าอาวาสท่านปัจจุบันว่า พระพูทธรูปเป็นพระคู่วัด ซึ่งได้ปิดทองทับอีกชั้น ตอนสร้างวิหารหลังใหม่ โดยใบหน้าของพระพุทธรูป ได้มาจากเค้าโครงใบหน้าสาวงามในตำบล เพราะมีความเชื่อว่า ?พระงาม คนก็งามด้วย? ส่วนบริเวณฝาผนังเป็นงานจิตรกรรมฝาผนังฝีมือช่างไทลื้อที่หาชมได้ยาก เป็นลวดลายที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ในจังหวัดเชียงใหม่ โดยภาพจิตกรรมฝาผนังนั้น ได้นำเรื่องราว นิทานชาดก ?เรื่อง เจ้าบุญหลง? มาถ่ายทอดเป็นภาพวาด
วรรรกรรมชาดกเรื่อง เจ้าบุญหลง มีความแพร่หลายในหมุ่ของชาวล้านนาไทลื้อ ไทเขิน ในฐานะธรรมเทศนาที่วัดต่างๆ ใช้เทศนาเพื่อสั่งสอนคุณธรรมจริยธรรมให้แก่ชาวบ้านมาแต่โบราณกาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออาจารย์อนาโตล โรเจอร์เป็ลติเยร์ ผู้เชี่ยวชาญวรรณกรรมไทเขินได้ปริวรรตธรรมชาดก เจ้าบุญหลง จากฉบับ ไทเขินมาเป็นภาษาไทย ฝรั่งเศส อักฤษ และถวายเป็นธรรมทางให้แก่วัดต่างๆ
เรื่องย่อ ?เจ้าบุญหลง?
เจ้าบุญหลงเป็นโอรสองค์ที่สองของพระเจ้าพรหมทัต กับพระนางประทุมมา กษัตริย์แห่งเมืองพาราณสี ส่วนโอรสองค์โตชื่อเจ้าพรหมปั้น เมื่อโตเป็นหนุ่ม เจ้าชายทั้งสององค์ชอบออกไปล่าสัตว์เป็นประจำ จึงเป็นเหตุให้ถูกขับไล่ออกจากบ้านเมืองในที่สุด เจ้าพรหมปั้นกับเจ้าบุญหลงได้พากันเดินทางมาถึงเมืองผาหง และพลัดพรากจากกันไป อยู่มาวันหนึ่ง เจ้าบุญหลงได้กินเนื้อนกยูงทอง ทำให้เวลาพูดจามีเงินทองไหลออกมาจากปากด้วย เมื่อเศรษฐีผู้หนึ่งเห็นเช่นนั้นจึงจับตัวเจ้าบุญหลงขังไว้ และในเวลาต่อมาจึงยกลูกสาวให้เป็นคู่ครอง เจ้าบุญหลงจึงได้อาศัยอยู่ในเมืองผาหงแห่งนั้น
ฝ่ายเจ้าพรหมปั้นได้เดินทางมาอาศัยอยู่ในเมืองปํญจล ครั้นเมื่อพระยาเจ้าเมืองสวรรคตจึงได้ขึ้นครองราชย์สืบแทน อยู่มาวันหนึ่งเจ้าพรหมปั้นมีความคิดถึงเจ้าบุญหลงผู้เป็นอนุชา จึงส่งทหารออกติดตามหา จนกระทั่งมาถึงเมืองผาหง เมื่อทราบว่าเจ้าบุญหลงได้แต่งงานกับลูกสาวเศรษฐี เจ้าพรหมปั้นจึงรับตัวเจ้าบุญหลงมาอยู่ในเมืองปัญจล ส่วนทางเมืองพาราณสี เมื่อพระเจ้าพรมทัตผู้เป็นบิดาสิ้นพระชนม์แล้ว พระนางประทุมมาผู้เป็นมารดาจึงได้อัญเชิญให้เจ้าบุญหลงและชายา กลับไปครองราชย์สมบัติสืบต่อมา
(ขอขอบคุณข้อมูลจากพระครูปลัดอานนท์ อาทิตตฺธมฺโม ท่านเจ้าอาวาสวัดท่ากระดาษ และ สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่)
ลำดับเจ้าอาวาส:
1. พระแก้ว อินฺทปญฺโญ
2. พระบุญตัน รังษี
3. พระบุญปั๋น รังษี
4. พระคำมูล
5. พระศรีนวล
6. พระคำปัน รังษี
7. พระคำปัน อินทะชัย
8. พระอธิการบุญเตือน ฐิตสีโล
9. พระบุญศรี อภินนฺโท
10. พระหน่อแก้ว อภิปฺโญ
11. พระวัน ฐิติปฺโญ 1
2. พระบุญเชิด ฐิติฉนฺโท 1
3.พระอธิการบุญชื่น ชิตจิตฺโต 1
4. พระพงษ์ศักดิ์ ปั๋นแก้ว 1
5. พระสวัสดิ์ สุขวฑฺฒโน 1
6. พระวิชิต วิชิตฺตญาโณ 1
7. พระอธิการอานนท์ อาทิตฺตธมฺโม (พ.ศ 2529-ปัจจุบัน)