Home Blog Page 182

จังหวัดเชียงใหม่

0

เชียงใหม่  เป็นจังหวัดหนึ่งของไทย ตั้งอยู่ทางภาคเหนือของประเทศ ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 20,107 ตารางกิโลเมตร ซึ่งใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศ มีประชากร 1,735,762 คน มากเป็นอันดับ 5 ของประเทศ ในจำนวนนี้เป็นประชากรที่อาศัยอยู่ในเขตเมืองและชานเมือง 960,906 คน โดยจังหวัดเชียงใหม่ทิศเหนือติดต่อกับรัฐฉานของเมียนมา

จังหวัดเชียงใหม่แบ่งการปกครองออกเป็น 25 อำเภอ โดยมีอำเภอเมืองเชียงใหม่เป็นศูนย์กลางของจังหวัด เมื่อ พ.ศ. 2552 มีการจัดตั้งอำเภอกัลยาณิวัฒนาเป็นอำเภอลำดับที่ 26 ของจังหวัด และลำดับที่ 878 ของประเทศ ซึ่งเป็นอำเภอล่าสุดของไทย

จังหวัดเชียงใหม่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน เคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรล้านนาแต่โบราณ มี “คำเมือง” เป็นภาษาท้องถิ่น มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวทั้งด้านประเพณีวัฒนธรรม และมีแหล่งท่องเที่ยวจำนวนมาก โดยเริ่มวางตัวเป็นนครสร้างสรรค์ และกำลังพิจารณาสมัครเข้าเป็นนครสร้างสรรค์ และเมืองมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก

เมืองเชียงใหม่ มีชื่อปรากฏในตำนานว่า “นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่” (คำเมือง: Lanna-Nopphaburi Si Nakhon Phing Chiang Mai.png)[4]) สถาปนาขึ้นในปี พ.ศ. 1839 โดยพญามังราย และมีอายุครบ 720 ปี ในปี พ.ศ. 2559

ในอดีตเชียงใหม่มีฐานะเป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรนครรัฐอิสระ ชื่อว่า อาณาจักรล้านนา ซึ่งปกครองโดยกษัตริย์ราชวงศ์มังราย ประมาณ 261 ปี (ระหว่าง พ.ศ. 1839-2101) กระทั่งในปี พ.ศ. 2101 เชียงใหม่ได้เสียเมืองให้แก่พระเจ้าบุเรงนองแห่งพม่า และได้อยู่ภายใต้การปกครองของพม่ามานานกว่าสองร้อยปี จนถึงสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี จึงได้มีการทำสงครามเพื่อขับไล่พม่าออกจากเมืองเชียงใหม่และเชียงแสนได้สำเร็จ โดยการนำของเจ้ากาวิละและพระยาจ่าบ้าน และเปลี่ยนชื่อเป็น เมืองรัตตนติงสาอภินวปุรี

หลังจากนั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเจ้ากาวิละขึ้นเป็นพระบรมราชาธิบดี ปกครองนครเชียงใหม่และเป็นประมุขแห่งราชวงศ์ทิพย์จักร (ราชวงศ์เจ้าเจ็ดตน) และต่อมา เจ้านายซึ่งเป็นเชื้อสายของพระเจ้ากาวิละ ก็ได้ปกครองเมืองเชียงใหม่และหัวเมืองต่างๆ สืบต่อมา

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการปฏิรูปการปกครองหัวเมืองประเทศราช โดยมีการจัดตั้งการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล เรียกว่า “มณฑลพายัพ” ต่อมาเชียงใหม่ได้มีการปรับปรุงการปกครองและยกฐานะขึ้นเป็น “จังหวัด” ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2476 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จนถึงปัจจุบัน
..เมืองเชียงใหม่นี้เหมือนหนึ่งเปนเพชรซึ่งประดับมงกุฎของเมืองไทย ถ้ามงกุฎปราศจากเพชรประดับก็จะไม่ผ่องใสงดงามได้…— จุฬาลงกรณ์ ป.ร.

ภูมิศาสตร์

ที่ตั้ง จังหวัดเชียงใหม่ตั้งอยู่ ณ ละติจูด 16 องศาเหนือ ลองติจูด 99 องศาตะวันออก สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 310 เมตร ส่วนกว้างจากทิศตะวันตกจรดทิศตะวันออกประมาณ 138 กิโลเมตร ส่วนยาวจากทิศเหนือจรดทิศใต้ประมาณ 428 กิโลเมตร ห่างจากกรุงเทพมหานคร 696 กิโลเมตร

อาณาเขตติดต่อ

  • ทิศเหนือ โดยมีดอยผีปันน้ำของดอยคำ ดอยปกกลา ดอยหลักแต่ง ดอยถ้ำป่อง ดอยถ้วย ดอยผาวอก และดอยอ่างขางอันเป็นส่วนหนึ่งของทิวเขาแดนลาว เป็นเส้นกั้นอาณาเขต
  • ทิศใต้ ติดต่อกับอำเภอสามเงา อำเภอแม่ระมาด และอำเภอท่าสองยาง (จังหวัดตาก) มีร่องน้ำแม่ตื่นและดอยผีปันน้ำ ดอยเรี่ยม ดอยหลวงเป็นเส้นกั้นอาณาเขต
  • ทิศตะวันออก ติดต่อกับอำเภอแม่ฟ้าหลวง อำเภอเมืองเชียงราย อำเภอแม่สรวย อำเภอเวียงป่าเป้า (จังหวัดเชียงราย) อำเภอเมืองปาน อำเภอเมืองลำปาง (จังหวัดลำปาง) อำเภอบ้านธิ อำเภอเมืองลำพูน อำเภอป่าซาง อำเภอเวียงหนองล่องอำเภอบ้านโฮ่ง และอำเภอลี้ (จังหวัดลำพูน) ส่วนที่ติดจังหวัดเชียงรายและลำปางมีร่องน้ำลึกของแม่น้ำกก สันปันน้ำดอยซาง ดอยหลุมข้าว ดอยแม่วัวน้อย ดอยวังผา และดอยแม่โตเป็นเส้นกั้นอาณาเขต ส่วนที่ติดจังหวัดลำพูนมีดอยขุนห้วยหละ ดอยช้างสูง และร่องน้ำแม่ปิงเป็นเส้นกั้นอาณาเขต
  • ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอปาย อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน อำเภอขุนยวม อำเภอแม่ลาน้อย อำเภอแม่สะเรียง และอำเภอสบเมย (จังหวัดแม่ฮ่องสอน) มีดอยผีปันน้ำ ดอยกิ่วแดง ดอยแปรเมือง ดอยแม่ยะ ดอยอังเกตุ ดอยแม่สุรินทร์ ดอยขุนยวม ดอยหลวง และร่องแม่ริด แม่ออย และดอยผีปันน้ำดอยขุนแม่ตื่นเป็นเส้นกั้นอาณาเขต

จังหวัดเชียงใหม่มีชายแดนติดต่อกับ 5 อำเภอ ได้แก่ อำเภอแม่อาย อำเภอฝาง อำเภอเชียงดาว อำเภอเวียงแหง อำเภอไชยปราการ รวมระยะทางทั้งสิ้น 227 กิโลเมตร พื้นที่เขตแดนส่วนใหญ่เป็นป่าเขา จึงไม่สามารถปักหลักเขตแดนได้ชัดเจน และเกิดปัญหาเส้นเขตแดนระหว่างประเทศ

ภูมิประเทศ
จังหวัดเชียงใหม่มีพื้นที่ 20,107.057 ตารางกิโลเมตรหรือประมาณ 12,566,911 ไร่ มีพื้นที่กว้างใหญ่เป็นอันดับที่ 1 ของภาคเหนือ และเป็นอันดับ 2 ของประเทศ รองจากจังหวัดนครราชสีมา ลักษณะภูมิประเทศโดยทั่วไปมีสภาพพื้นที่เป็นภูเขาและป่าละเมาะ มีที่ราบอยู่ตอนกลางตามสองฟากฝั่งแม่น้ำปิง มีภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทยคือ ดอยอินทนนท์ สูงประมาณ 2,565 เมตร อยู่ในเขตอำเภอจอมทอง นอกจากนี้ยังมีดอยอื่นที่มีความสูงรองลงมาอีกหลายแห่ง เช่น ดอยผ้าห่มปก (อำเภอฝาง) สูง 2,285 เมตร ดอยหลวงเชียงดาว (อำเภอเชียงดาว) สูง 2,170 เมตร ดอยสุเทพ (อำเภอเมืองเชียงใหม่) สูง 1,601 เมตร สภาพพื้นที่แบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะคือ

พื้นที่ภูเขา คิดเป็นพื้นที่ประมาณร้อยละ 80 ของจังหวัด ประกอบด้วยทิวเขาอินทนนท์ (หรือถนนธงชัยตะวันออก) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของจังหวัด พาดยาวจากทิศเหนือจรดใต้ ตามแนวรอยต่อกับจังหวัดแม่ฮ่องสอน และทิวเขาขุนตาน ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของจังหวัด พาดผ่านในทิศเหนือ-ใต้ พื้นที่ภูเขาส่วนใหญ่เป็นป่าต้นน้ำลำธาร ไม่เหมาะสมต่อการเพาะปลูก ส่วนบางพื้นที่เป็นพื้นที่อยู่อาศัยของชาวเขาชาติพันธุ์ต่าง ๆ
พื้นที่ราบลุ่มน้ำและที่ราบเชิงเขา กระจายอยู่ทั่วไประหว่างหุบเขาทอดตัวในแนวเหนือ-ใต้ ได้แก่ ที่ราบลุ่มน้ำปิง ลุ่มน้ำฝาง ลุ่มน้ำแม่งัด เป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์เหมาะสมต่อการเกษตร

ภูมิอากาศ
จังหวัดเชียงใหม่มีสภาพอากาศค่อนข้างเย็นเกือบตลอดทั้งปี มีอุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปี 25.4 องศาเซลเซียส โดยมีค่าอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย 31.8 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ย 20.1 องศาเซลเซียส มีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 1,100-1,200 มิลลิเมตร สภาพภูมิอากาศจังหวัดเชียงใหม่อยู่ภายใต้อิทธิพลมรสุม 2 ชนิด คือ ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้และลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ แบ่งภูมิอากาศออกได้เป็น 3 ฤดู

ทรัพยากรป่าไม้
จังหวัดเชียงใหม่มีป่าไม้หลายประเภท ประกอบด้วย ป่าดิบเขา ป่าดิบแล้ง ป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง และป่าเต็งรังผสมป่าสนเขา และป่าแดง เป็นต้น พื้นที่ป่าไม้ ประกอบด้วย ป่าธรรมชาติ สวนป่า และป่าฟื้นฟูตามธรรมชาติ โดยมีพื้นที่ป่าไม้อยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ 12,222,395 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 69.93 ของพื้นที่ทั้งจังหวัด[7] แบ่งเป็นป่าสงวนแห่งชาติ จำนวน 25 แห่ง อุทยานแห่งชาติ 14 แห่ง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า 4 แห่ง วนอุทยานแห่งชาติ 2 แห่ง และเขตห้ามล่าสัตว์ป่า 1 แห่ง และจังหวัดเชียงใหม่ยังเป็นจังหวัดที่ถือได้ว่ามีพื้นที่เขตเมืองใกล้กับเขตอุทยานแห่งชาติมากที่สุดในประเทศอีกด้วย อุทยานแห่งชาติในจังหวัดเชียงใหม่ ได้แก่

  • อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์
  • อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย
  • อุทยานแห่งชาติแม่ปิง
  • อุทยานแห่งชาติออบหลวง
  • อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง
  • อุทยานแห่งชาติศรีลานนา
  • อุทยานแห่งชาติดอยเวียงผา
  • อุทยานแห่งชาติแม่ตะไคร้
  • อุทยานแห่งชาติผาแดง
  • อุทยานแห่งชาติแม่โถ
  • อุทยานแห่งชาติแม่ฝาง
  • อุทยานแห่งชาติออบขาน
  • อุทยานแห่งชาติแม่วาง

นอกจากนี้จังหวัดเชียงใหม่ยังมีปัญหาเกี่ยวกับทรัพยากรป่าไม้เกิดขึ้นเป็นประจำ สาเหตุสำคัญเช่น การลักลอบตัดไม้ การบุกรุกเพื่อทำการเกษร และไฟป่า

ทรัพยากรน้ำ

จังหวัดเชียงใหม่มีแม่น้ำสำคัญ คือ แม่น้ำปิง และมีแหล่งน้ำขนาดใหญ่ 2 แห่ง คือ เขื่อนแม่กวงอุดมธารา อำเภอดอยสะเก็ด และเขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล อำเภอแม่แตง และยังแบ่งตามพื้นที่ลุ่มน้ำดังนี้

  • ลุ่มน้ำปิงตอนบน เป็นลุ่มน้ำที่สำคัญที่สุดในภาคเหนือตอนบน มีพื้นที่ 25,355.9 ตร.กม. สภาพภูมิประเทศเป็นเทือกเขาสลับซับซ้อนมีความลาดชันสูง วางตัวแนวเหนือ-ใต้ พื้นที่ส่วนใหญ่เสี่ยงต่อแผ่นดินถล่มและการชะล้างพังทลายของดินสูง ลักษณะภูมิอากาศเป็นแบบสะวันนา คือ มีฤดูฝนสลับกับฤดูแล้งอย่างชัดเจน[ต้องการอ้างอิง] และยังมีลุ่มน้ำย่อยอีก 14 ลุ่มน้ำย่อย แม่น้ำที่สำคัญได้แก่ แม่น้ำปิง แม่แตง แม่กวง แม่งัด แม่แจ่ม แม่ขาน และแม่ตื่น
  • ลุ่มน้ำกก มีแม่น้ำกกเป็นแม่น้ำสายหลัก ไหลผ่านเมืองกก เข้าเขตประเทศไทยที่ช่องน้ำกก อำเภอแม่อาย แล้วไหลเข้าสู่จังหวัดเชียงราย ก่อนจะไหลลงสู่แม่น้ำโขง ครอบคลุมพื้นที่ 2,773 ตร.กม.[ต้องการอ้างอิง]
  • ลุ่มน้ำฝาง มีแม่น้ำฝางเป็นแม่น้ำสายหลัก ซึ่งมีต้นกำเนิดจากดอยขุนห้วยฝางและดอยหัวโท ทางตอนใต้ของอำเภอไชยปราการ ไหลลงสู่แม่น้ำกก มีความยาวลำน้ำประมาณ 70 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ลุ่มน้ำ 1,948.5 ตร.กม. ในอำเภอไชยปราการ ฝาง และแม่อาย

ธรณีวิทยา
จังหวัดเชียงใหม่มีการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรณี โดยมีการผลิตแร่ที่สำคัญ 8 ชนิด ได้แก่ ถ่านหิน เฟลด์สปาร์ (แร่ฟันม้า) แมงกานีส ชีไลต์ ดีบุก ดินขาว ฟลูออไรด์ และแร่หินอุตสาหกรรม และจังหวัดเชียงใหม่ยังมีแหล่งทรัพยากรธรณีที่สำคัญ เช่น แหล่งปิโตรเลียม อำเภอฝาง สภาพทางธรณีวิทยาที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ได้แก่ บ่อน้ำพุร้อน อำเภอสันกำแพงและอำเภอฝาง โป่งเดือด อำเภอแม่แตง บ่อน้ำแร่ธรรมชาติ อำเภอแม่ริม เป็นต้น

จังหวัดเชียงใหม่ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีโอกาสเกิดแผ่นดินไหว ซึ่งมีรอยเลื่อนมีพลัง 2 แห่งที่พาดผ่านจังหวัด ได้แก่ “รอยเลื่อนแม่จัน” ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือของจังหวัด พาดผ่านอำเภอฝางและอำเภอแม่อายในทิศตะวันออก-ตะวันตก และ “รอยเลื่อนแม่ทา” พาดผ่านพื้นที่ตอนกลางของจังหวัดในทิศเหนือ-ใต้ ผ่านอำเภอพร้าว ดอยสะเก็ด แม่ออน เชียงดาว แม่แตง แม่ริม สันทราย เมืองเชียงใหม่ สารภี หางดง สันป่าตอง และแม่วาง นอกจากนี้พื้นที่ส่วนอื่นของจังหวัดก็มีโอกาสที่จะได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในบริเวณอื่นเช่นกัน โดยแผ่นดินไหวที่มีศูนย์กลางในเขตจังหวัดเชียงใหม่ครั้งรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2549 ขนาด 5.1 มีจุดเหนือศูนย์กลางในอำเภอแม่ริม ทำให้เกิดความเสียหายเล็กน้อยในบริเวณอำเภอแม่ริมและอำเภอใกล้เคียง

การเมืองการปกครอง
สัญลักษณ์ประจำจังหวัด

  • อักษรย่อ: ชม
  • ตราประจำจังหวัด : รูปช้างเผือกในเรือนแก้ว หมายถึงความสำคัญ 2 ประการของจังหวัด ช้างเผือกคือช้างที่เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่นำมาถวายแด่สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์) และได้ขึ้นระวางเป็นช้างเผือกเอกในรัชกาล ส่วนเรือนแก้วคือดินแดนที่พุทธศาสนารุ่งเรืองสูงสุด
  • ต้นไม้ประจำจังหวัด : ต้นทองกวาว (Butea monosperma)
  • ดอกไม้ประจำจังหวัด : ดอกทองกวาว
  • สัตว์น้ำประจำจังหวัด : ปลากาหรือปลาเพี้ย (Labeo chrysophekadion)

หน่วยการปกครอง
การปกครองส่วนภูมิภาค

นับตั้งแต่ พ.ศ. 2476 ถึงปัจจุบัน จังหวัดเชียงใหม่มีการตั้งอำเภอขึ้นใหม่ ดังนี้

  • อำเภอหางดง โดยแยกจากอำเภอเมืองเชียงใหม่ ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2490
  • อำเภอแม่แจ่ม โดยแยกจากอำเภอจอมทอง ในวันที่ 5 มิถุนายน 2499
  • อำเภออมก๋อย โดยแยกจากอำเภอฮอด ในวันที่ 22 กรกฎาคม 2501
  • อำเภอสะเมิง โดยแยกจากอำเภอแม่ริม ในวันที่ 22 กรกฎาคม 2501
  • อำเภอแม่อาย โดยโดยแยกจากอำเภอฝาง ในวันที่ 28 มิถุนายน 2516
  • อำเภอดอยเต่า โดยแยกจากอำเภอฮอด ในวันที่ 25 มีนาคม 2522
  • อำเภอเวียงแหง โดยแยกจากอำเภอเชียงดาว ในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2536
  • อำเภอไชยปราการ โดยแยกจากอำเภอฝาง ในวันที่ 3 มิถุนายน 2537
  • อำเภอแม่วาง โดยแยกจากอำเภอสันป่าตอง ในวันที่8 สิงหาคม 2538
  • อำเภอดอยหล่อ โดยแยกจากอำเภอจอมทอง ในวันที่ 24 สิงหาคม 2550
  • อำเภอแม่ออน โดยแยกจากอำเภอสันกำแพง ในวันที่ 24 สิงหาคม 2550
  • อำเภอกัลยาณิวัฒนา โดยแยกจากอำเภอแม่แจ่ม ในวันที่ 25 ธันวาคม 2552

ปัจจุบันจังหวัดเชียงใหม่แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 25 อำเภอ 204 ตำบล 2,066 หมู่บ้าน ซึ่งอำเภอทั้ง 25 อำเภอมีดังนี้

หมายเลข อำเภอ ประชากร
(พ.ศ. 2559)[2]
พื้นที่
(ตร.กม.)
ความหนาแน่น
(คน/ตร.กม.)
±%
เทียบกับ พ.ศ. 2558[25]
1 อำเภอเมืองเชียงใหม่ 234,837 152.36 1,541 -0.3
2 อำเภอจอมทอง 66,811 712.30 94 +0.1
3 อำเภอแม่แจ่ม 59,515 2,686.57 22 +0.6
4 อำเภอเชียงดาว 91,829 1,882.08 49 +0.4
5 อำเภอดอยสะเก็ด 72,064 671.28 107 +1.0
6 อำเภอแม่แตง 75,699 1,362.78 56 -0.3
7 อำเภอแม่ริม 91,558 443.63 206 +0.9
8 อำเภอสะเมิง 23,642 898.02 26 +0.3
9 อำเภอฝาง 118,075 888.16 133 +0.4
10 อำเภอแม่อาย 77,778 736.70 106 +0.3
11 อำเภอพร้าว 49,258 1,148.19 43 -0.5
12 อำเภอสันป่าตอง 75,290 178.19 423 -0.1
13 อำเภอสันกำแพง 84,327 197.83 426 +1.7
14 อำเภอสันทราย 131,414 285.02 461 +0.9
15 อำเภอหางดง 86,435 277.14 312 +1.5
16 อำเภอฮอด 43,803 1,430.38 31 -0.0
17 อำเภอดอยเต่า 27,393 803.92 34 -0.2
18 อำเภออมก๋อย 62,317 2,093.83 30 +0.7
19 อำเภอสารภี 82,247 97.46 844 +1.3
20 อำเภอเวียงแหง 44,563 672.17 66 +0.6
21 อำเภอไชยปราการ 45,962 510.85 90 +0.0
22 อำเภอแม่วาง 31,625 601.22 53 -0.2
23 อำเภอแม่ออน 21,296 442.26 48 +0.0
24 อำเภอดอยหล่อ 25,931 260.13 100 -0.4
25 อำเภอกัลยาณิวัฒนา 12,093 674.58 18 +1.0
รวม 1,735,762 20,107.05 86 +0.4

การปกครองส่วนท้องถิ่น

องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีจำนวน 210 แห่ง ประกอบด้วยองค์การบริหารส่วนจังหวัด (องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่) 1 แห่ง เทศบาลนคร 1 แห่ง (เทศบาลนครเชียงใหม่) เทศบาลเมือง 4 แห่ง เทศบาลตำบล 116 แห่ง และองค์การบริหารส่วนตำบล 89 แห่ง รายชื่อเทศบาลทั้งหมดมีดังนี้

อำเภอเมืองเชียงใหม่

เทศบาลนครเชียงใหม่
เทศบาลเมืองแม่เหียะ
เทศบาลตำบลช้างเผือก
เทศบาลตำบลท่าศาลา
เทศบาลตำบลป่าแดด
เทศบาลตำบลฟ้าฮ่าม
เทศบาลตำบลสันผีเสื้อ
เทศบาลตำบลสุเทพ
เทศบาลตำบลหนองป่าครั่ง
เทศบาลตำบลหนองหอย
อำเภอจอมทอง

เทศบาลตำบลจอมทอง
เทศบาลตำบลดอยแก้ว
เทศบาลตำบลบ้านแปะ
เทศบาลตำบลบ้านหลวง
เทศบาลตำบลข่วงเปา
เทศบาลตำบลสบเตี๊ยะ
เทศบาลตำบลแม่สอย
อำเภอแม่แจ่ม

เทศบาลตำบลท่าผา
เทศบาลตำบลแม่แจ่ม
อำเภอเชียงดาว

เทศบาลตำบลเชียงดาว
เทศบาลตำบลทุ่งข้าวพวง
เทศบาลตำบลพระธาตุปู่ก่ำ
เทศบาลตำบลปิงโค้ง
เทศบาลตำบลเมืองงาย
เทศบาลตำบลเมืองนะ
อำเภอดอยสะเก็ด

เทศบาลตำบลดอยสะเก็ด
เทศบาลตำบลสง่าบ้าน
เทศบาลตำบลเชิงดอย
เทศบาลตำบลลวงเหนือ
เทศบาลตำบลสันปูเลย
เทศบาลตำบลแม่โป่ง
เทศบาลตำบลป่าเมี่ยง
เทศบาลตำบลแม่คือ
เทศบาลตำบลแม่ฮ้อยเงิน
เทศบาลตำบลตลาดขวัญ
เทศบาลตำบลตลาดใหญ่
เทศบาลตำบลป่าป้อง
เทศบาลตำบลสำราญราษฎร์
อำเภอแม่แตง

เทศบาลเมืองเมืองแกนพัฒนา
เทศบาลตำบลแม่หอพระ
เทศบาลตำบลสันมหาพน
เทศบาลตำบลอินทขิล
เทศบาลตำบลแม่แตง
อำเภอแม่ริม

เทศบาลตำบลแม่ริม
เทศบาลตำบลขี้เหล็ก
เทศบาลตำบลริมเหนือ
เทศบาลตำบลสันโป่ง
เทศบาลตำบลแม่แรม
เทศบาลตำบลเหมืองแก้ว
อำเภอสะเมิง

เทศบาลตำบลสะเมิงใต้
อำเภอฝาง

เทศบาลตำบลบ้านแม่ข่า
เทศบาลตำบลเวียงฝาง
เทศบาลตำบลสันทราย
เทศบาลตำบลแม่ข่า
อำเภอแม่อาย

เทศบาลตำบลแม่อาย
อำเภอพร้าว

เทศบาลตำบลน้ำแพร่
เทศบาลตำบลบ้านโป่ง
เทศบาลตำบลป่าตุ้ม
เทศบาลตำบลป่าไหน่
เทศบาลตำบลแม่ปั๋ง
เทศบาลตำบลเวียงพร้าว
อำเภอสันป่าตอง

เทศบาลตำบลทุ่งต้อม
เทศบาลตำบลบ้านกลาง
เทศบาลตำบลสันป่าตอง
เทศบาลตำบลยุหว่า
เทศบาลตำบลบ้านแม
เทศบาลตำบลทุ่งสะโตก
อำเภอสันกำแพง

เทศบาลเมืองต้นเปา
เทศบาลตำบลบวกค้าง
เทศบาลตำบลแม่ปูคา
เทศบาลตำบลสันกำแพง
เทศบาลตำบลออนใต้
เทศบาลตำบลสันกลาง
เทศบาลตำบลห้วยทราย
อำเภอฮอด

เทศบาลตำบลท่าข้าม
เทศบาลตำบลบ่อหลวง
เทศบาลตำบลบ้านตาล
อำเภอสันทราย

เทศบาลเมืองแม่โจ้
เทศบาลตำบลเจดีย์แม่ครัว
เทศบาลตำบลป่าไผ่
เทศบาลตำบลเมืองเล็น
เทศบาลตำบลแม่แฝก
เทศบาลตำบลสันทรายหลวง
เทศบาลตำบลสันนาเม็ง
เทศบาลตำบลสันป่าเปา
เทศบาลตำบลสันพระเนตร
เทศบาลตำบลหนองจ๊อม
เทศบาลตำบลหนองหาร
เทศบาลตำบลหนองแหย่ง
อำเภอหางดง

เทศบาลตำบลบ้านแหวน
เทศบาลตำบลสันผักหวาน
เทศบาลตำบลหนองตองพัฒนา
เทศบาลตำบลหางดง
เทศบาลตำบลหารแก้ว
เทศบาลตำบลน้ำแพร่พัฒนา
เทศบาลตำบลแม่ท่าช้าง
เทศบาลตำบลหนองแก๋ว
เทศบาลตำบลบ้านปง
เทศบาลตำบลหนองควาย
อำเภอดอยเต่า

เทศบาลตำบลท่าเดื่อ-มืดกา
อำเภออมก๋อย

เทศบาลตำบลอมก๋อย
อำเภอสารภี

เทศบาลตำบลขัวมุง
เทศบาลตำบลชมภู
เทศบาลตำบลไชยสถาน
เทศบาลตำบลดอนแก้ว
เทศบาลตำบลท่ากว้าง
เทศบาลตำบลท่าวังตาล
เทศบาลตำบลยางเนิ้ง
เทศบาลตำบลสันทรายมหาวงศ์
เทศบาลตำบลสารภี
เทศบาลตำบลหนองผึ้ง
เทศบาลตำบลหนองแฝก
เทศบาลตำบลป่าบง
อำเภอเวียงแหง

เทศบาลตำบลแสนไห
อำเภอไชยปราการ

เทศบาลตำบลไชยปราการ
เทศบาลตำบลหนองบัว
อำเภอแม่วาง

เทศบาลตำบลแม่วาง

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่

รายนามผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่
ลำดับ รายนาม ระยะเวลาการดำรงตำแหน่ง
1 พระยาอุดมพงษ์เพ็ญสวัสดิ์ พ.ศ. 2444
2 พระยายอดเมืองขวาง ไม่ทราบข้อมูล
3 พระยามหินทรบดี ไม่ทราบข้อมูล
4 พระยาวรวิไชยวุฒิกร (เลื่อม สนธิรัตน) ไม่ทราบข้อมูล
5 พระยาเพ็ชร์พิสัยศรีสวัสดิ์ (แมน วสันตสิงห์) พ.ศ. 2461 – พ.ศ. 2471
6 พระยาอนุบาลพายัพกิจ (ปุ่น อาสนจินดา) พ.ศ. 2471 – พ.ศ. 2481
7 พระยาอมรฤทธิธำรง (พร้อม ณ ถลาง) พ.ศ. 2481 – พ.ศ. 2484
8 พระชาติตระการ (หม่อมราชวงศ์จิตร์ คะเนจร) พ.ศ. 2484 – พ.ศ. 2485
9 ขุนประสงค์สุขการี (สมบุญ ลาภเจริญ) พ.ศ. 2485 – พ.ศ. 2488
10 นายทวี แรงขำ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2488 – 30 กันยายน พ.ศ. 2489
11 ขุนไตรกิตยานุกูล (อัมพร ไตรกิตยานุกูล) 22 ตุลาคม พ.ศ. 2489 – 30 มกราคม พ.ศ. 2494
12 นายอุดม บุญยประสพ 30 มกราคม พ.ศ. 2494 – 30 มิถุนายน พ.ศ. 2495
13 นายประเสริฐ กาญจนดุล 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2495 – 12 มิถุนายน พ.ศ. 2501
14 พ.ต.อ.เนื่อง รายะนาค 16 มิถุนายน พ.ศ. 2501 – 28 สิงหาคม พ.ศ. 2502
15 นายสุทัศน์ สิริสวย 31 สิงหาคม พ.ศ. 2502 – 30 มิถุนายน พ.ศ. 2503
16 พ.ต.อ.นิรันดร ชัยนาม 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2503 – 30 กันยายน พ.ศ. 2514
17 นายวิสิษฐ์ ไชยพร 1 ตุลาคม พ.ศ. 2514 – 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2515
18 นายอาษา เมฆสวรรค์ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2515 – 1 ตุลาคม พ.ศ. 2518
19 นายชลอ ธรรมศิริ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2518 – 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2520
20 นายประเทือง สินธิพงษ์ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2520 – 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2523
21 นายชัยยา พูนศิริวงศ์ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2523 – 30 กันยายน พ.ศ. 2530
22 นายไพรัตน์ เดชะรินทร์ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2530 – 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2534
23 นายชนะศักดิ์ ยุวบูรณ์ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2534 – 18 ตุลาคม พ.ศ. 2536
24 นายวีระชัย แนวบุญเนียร 18 ตุลาคม พ.ศ. 2536 – 30 กันยายน พ.ศ. 2539
25 นายพลากร สุวรรณรัฐ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2539 – 11 มกราคม พ.ศ. 2541
26 นายประวิทย์ สีห์โสภณ 12 มกราคม พ.ศ. 2541 – 22 เมษายน พ.ศ. 2544
27 นายโกสินทร์ เกษทอง 23 เมษายน พ.ศ. 2544 – 9 ตุลาคม พ.ศ. 2545
28 นายพิสิษฐ เกตุผาสุข 28 ตุลาคม พ.ศ. 2545 – 4 มิถุนายน พ.ศ. 2546
29 นายสุวัฒน์ ตันติพัฒน์ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2546 – 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549
30 นายวิชัย ศรีขวัญ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 – 30 กันยายน พ.ศ. 2550
31 นายวิบูลย์ สงวนพงศ์ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2550 – 13 มีนาคม พ.ศ. 2552
32 ดร.อมรพันธุ์ นิมานันท์ 16 มีนาคม พ.ศ. 2552 -30 กันยายน พ.ศ. 2553
33 หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล 1 ตุลาคม พ.ศ. 2553 – 30 กันยายน พ.ศ. 2555
34 นายธานินทร์ สุภาแสน 8 ตุลาคม พ.ศ. 2555 – 30 กันยายน พ.ศ. 2556
35 นายวิเชียร พุฒิวิญญู 1 ตุลาคม พ.ศ. 2556 – 1 มิถุนายน พ.ศ. 2557
36 นายสุริยะ ประสาทบัณฑิตย์ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2557 – 30 กันยายน พ.ศ. 2558
37 นายปวิณ ชำนิประศาสน์ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2558 – ปัจจุบัน

การเลือกตั้ง
จังหวัดเชียงใหม่แบ่งเขตเลือกตั้งออกเป็น 10 เขต มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งสิ้น 10 คน ส่วนวุฒิสภา มีการเลือกตั้งสมาชิกได้ 1 คน ปัจจุบันคือ ชูชัย เลิศพงศ์อดิศร

การต่างประเทศ
จังหวัดเชียงใหม่เป็นที่ตั้งของสถานกงสุลดังต่อไปนี้

  • สถานกงสุลใหญ่สหรัฐอเมริกา
  • สถานกงสุลใหญ่ญี่ปุ่น
  • สถานกงสุลใหญ่สาธารณรัฐประชาชนจีน
  • สถานกงสุลใหญ่อินเดีย
  • สถานกงสุลกิตติมศักดิ์สหราชอาณาจักร
  • สถานกงสุลกิตติมศักดิ์เยอรมนี
  • สถานกงสุลกิตติมศักดิ์ฝรั่งเศส
  • สถานกงสุลกิตติมศักดิ์ออสเตรเลีย
  • สถานกงสุลกิตติมศักดิ์ออสเตรีย
  • สถานกงสุลกิตติมศักดิ์แคนาดา
  • สถานกงสุลกิตติมศักดิ์อิตาลี
  • สถานกงสุลกิตติมศักดิ์เปรู
  • สถานกงสุลกิตติมศักดิ์บังกลาเทศ
  • สถานกงสุลกิตติมศักดิ์สวีเดน
  • สถานกงสุลกิตติมศักดิ์กรีซ
  • สถานกงสุลกิตติมศักดิ์เกาหลีใต้
  • สถานกงสุลกิตติมศักดิ์ฟิลิปปินส์
  • สถานกงสุลกิตติมศักดิ์ฟินแลนด์
  • สถานกงสุลกิตติมศักดิ์เนเธอร์แลนด์
  • สถานกงสุลกิตติมศักดิ์สวิสเซอร์แลนด์
เมืองพี่น้อง
จังหวัดเชียงใหม่มีความสัมพันธ์ในฐานะเมืองพี่น้องกับเมืองดังต่อไปนี้
  • ประเทศจีน เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน (พ.ศ. 2543)
  • อินโดนีเซีย ยกยาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย (พ.ศ. 2550)
  • ประเทศจีน ชิงเต่า ประเทศจีน (พ.ศ. 2551)
  • ประเทศจีน ฉงชิ่ง ประเทศจีน (พ.ศ. 2551)
  • ประเทศจีน ฮาร์บิน ประเทศจีน (พ.ศ. 2551)
  • ประเทศจีน คุนหมิง ประเทศจีน (พ.ศ. 2552)
  • ตุรกี บูร์ซา ประเทศตุรกี (พ.ศ. 2556)
  • ญี่ปุ่น ซัปโปะโระ ประเทศญี่ปุ่น (พ.ศ. 2556)
  • ประเทศพม่า เชียงตุง ประเทศพม่า (พ.ศ. 2556)

ประชากร
ปัจจุบันจังหวัดเชียงใหม่มีประชากรทั้งสิ้น 1,735,762 คน (พ.ศ. 2559) แยกเป็นชาย 843,088 คน หญิง 892,674 คน[2] ความหนาแน่นเฉลี่ย 86 คน/ตร.กม. ในจำนวนดังกล่าวประกอบด้วยประชากรชนกลุ่มน้อย 64,532 คน[7] กระจายตามอำเภอใน 25 อำเภอ อำเภอที่มีประชากรชนกลุ่มน้อยมากที่สุด ได้แก่ อำเภอฝาง รองลงมา ได้แก่ อำเภอเชียงดาว อำเภอแม่อาย และอำเภอเวียงแหง[27] ประชากรส่วนใหญ่เป็น “ชาวไทยวน” หรือ “คนเมือง” ที่เหลือเป็น ไทใหญ่ ไทลื้อ ไทเขิน และไทยสยาม

เศรษฐกิจ
ผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (GPP) พ.ศ. 2555 มีมูลค่า 163,828 ล้านบาท แบ่งเป็นภาคเกษตร (รวมถึงการล่าสัตว์และการป่าไม้) 28,014 ล้านบาท (17.1%) และนอกภาคเกษตร 135,813 ล้านบาท (82.9%) สาขาการผลิตนอกภาคเกษตรที่สำคัญ ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ การให้เช่าและบริการทางธุรกิจ (14.4%) การขายส่งขายปลีก (12.1%) การศึกษา (11%) ตัวกลางทางการเงิน (11%) การบริหารราชการแผ่นดินและการป้องกันประเทศ (7.9%) การก่อสร้าง (7.2%) อุตสาหกรรม (6.9%) และสาขาอื่น ๆ (14.9%) จังหวัดเชียงใหม่มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเฉลี่ยร้อยละ 11.7[7]

มีรายได้ประชากรต่อหัวเฉลี่ย 89,542 บาท/คน/ปี อยู่ที่อันดับ 2 ของภาคเหนือรองจากจังหวัดลำพูน[7] สำหรับรายได้ประชากรในเขตชนบท เฉลี่ยนั้น อยู่ที่ 59,092.45 บาท/คน/ปี อำเภอที่มีรายได้เฉลี่ยต่ำที่สุด คือ อำเภออมก๋อย 29,198.01 บาท/คน/ปี และอำเภอที่มีรายได้สูงสุด คือ อำเภอฝาง 110,592.77 บาท/คน/ปี[27]

ใน พ.ศ. 2556 จังหวัดเชียงใหม่มีกำลังแรงงาน 976,115 คน (60.45% ของประชากร) มีอัตราว่างงานเฉลี่ย 1.24% ซึ่งมีจำนวนราว 12,000 คน จังหวัดเชียงใหม่มีแรงงานต่างด้าว 67,113 คน โดยเกือบทั้งหมดเป็นชาวพม่า (66,995 คน) แรงงานต่างด้าวประกอบอาชีพในภาคการก่อสร้างมากที่สุด 27,993 คน รองลงมาอยู่ในภาคเกษตรและปศุสัตว์ 16,342 คน

ภาคเกษตรกรรม
จังหวัดเชียงใหม่มีพื้นที่การเกษตร 1,835,425 ไร่ (14.61% ของพื้นที่จังหวัด) ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ปลูกข้าว 716,454 ไร่ และพืชสวน 459,254 ไร่ พื้นที่การเกษตรนี้อยู่ในเขตชลประทาน 642,979 ไร่ (35% ของพื้นที่การเกษตร) มีครัวเรือนการเกษตร 134,426 ครัวเรือน

พืชเศรษฐกิจสำคัญของจังหวัดเชียงใหม่ ได้แก่ ข้าว ลำไย ลิ้นจี่ กระเทียม หอมแดง หอมหัวใหญ่ และส้มเขียวหวาน

ภาคอุตสาหกรรม
จังหวัดเชียงใหม่มีโรงงาน 1,395 แห่ง เงินลงทุน 32,180 ล้านบาท แรงงาน 43,306 คน อุตสาหกรรมสำคัญ ได้แก่ อุตสาหกรรมอาหาร เกษตร ขนส่ง อโลหะ และเครื่องดื่ม ซึ่งอุตสาหกรรมที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน (BOI) พ.ศ. 2554 มี 34 โครงการ ประเทศที่มีการลงทุนในจังหวัดเชียงใหม่ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา จีน เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี สิงคโปร์ มาเลเซีย เดนมาร์ก ออสเตรเลีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

การท่องเที่ยว

ในการสำรวจ World Best Award-Top 10 Cities จากผู้อ่าน Travel and Leisure นิตยสารท่องเที่ยวของสหรัฐอเมริกา ในปี พ.ศ. 2553 ผลปรากฏว่า จังหวัดเชียงใหม่เป็นเมืองน่าท่องเที่ยวอันดับ 2 ของโลก รองแต่เพียงกรุงเทพมหานครเท่านั้น ซึ่งใน พ.ศ. 2552 จังหวัดเชียงใหม่ถูกจัดเป็นเมืองน่าท่องเที่ยวอันดับ 5 ของโลก โดยพิจารณาจากสถานที่ ทัศนียภาพ ความสวยงามและร่มรื่น ศิลปวัฒนธรรมและประเพณี อาหารการกิน แหล่งช็อปปิ้ง ความเป็นมิตรของผู้คน ความคุ้มค่า ของเงิน เป็นต้น[29]

ใน พ.ศ. 2555 จังหวัดเชียงใหม่มีจำนวนนักท่องเที่ยวราว 6.5 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. 2554 ราว 9 แสนคน อยู่ในอันดับที่ 4 ของประเทศรองจากกรุงเทพมหานคร จังหวัดภูเก็ต และจังหวัดชลบุรี เป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 2,192,322 คน (33.4%) สร้างรายได้รวม 53,507 ล้านบาท

วัฒนธรรม
ศาสนา
ประชากรในจังหวัดเชียงใหม่ นับถือศาสนาพุทธร้อยละ 91.8 ศาสนาคริสต์ร้อยละ 5.6 ศาสนาอิสลามร้อยละ 1.17 ศาสนาฮินดูและสิกข์ร้อยละ 0.02 และอื่น ๆ ร้อยละ 1.41

ประเพณี
เมืองเชียงใหม่มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน คนเชียงใหม่ได้สั่งสมวัฒนธรรมประเพณีสืบทอดมาจากบรรพบุรุษอย่างต่อเนื่อง โดยส่วนใหญ่มีความผูกพันกับพุทธศาสนาและความเชื่อดั้งเดิม ประเพณีที่สำคัญ ได้แก่

  • ปีใหม่เมือง (สงกรานต์) จัดขึ้นระหว่างวันที่ 13-15 เมษายนของทุกปี เป็นประเพณีที่สำคัญและยิ่งใหญ่ของชาวเชียงใหม่ แบ่งเป็นวันที่ 13 เป็นวันมหาสงกรานต์ มีขบวนแห่พระพุทธสิหิงค์ และพิธีสรงน้ำพระ วันที่ 14 เข้าวัดก่อเจดีย์ทราย และวันที่ 15 เมษายน ประเพณีรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ และมีการเล่นสาดน้ำตลอดช่วงเทศกาล
  • ประเพณียี่เป็ง จัดขึ้นในช่วงวันลอยกระทงของทุกปี ราวเดือนพฤศจิกายน มีการตกแต่งบ้านเรือนและสถานที่ต่างๆ ด้วยโคมชนิดต่างๆ มีการปล่อยโคมลอย มีการลอยกระทง ประกวดกระทงและนางนพมาศ
  • ประเพณีเข้าอินทขิล จัดขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน ที่วัดเจดีย์หลวง เป็นการบูชาเสาหลักเมืองโดยการนำดอกไม้ธูปเทียนมาใส่ขันดอก
  • เทศกาลร่มบ่อสร้าง จัดขึ้นในเดือนมกราคมของทุกปี ที่ศูนย์หัตถกรรมทำร่มบ่อสร้าง อำเภอสันกำแพง มีการแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์พื้นบ้าน มีการแสดงทางวัฒนธรรม ขบวนแห่ ประเพณีพื้นบ้าน
  • มหกรรมไม้ดอกไม้ประดับ จัดขึ้นในอาทิตย์แรกของเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี บริเวณสวนสาธารณะบวกหาด มีขบวนรถบุปผาชาติ และนางงามบุปผาชาติ
  • งานไม้แกะสลักบ้านถวาย จัดขึ้นในเดือนมกราคม ที่หมู่บ้านถวาย อำเภอหางดง มีการจำหน่ายและสาธิตการแกะสลักไม้ และหัตถกรรมพื้นบ้าน
  • ประเพณีแห่ไม้ค้ำโพธิ์ จัดขึ้นในเดือนเมษายน ในวันที่ 15 เป็นต้นไป ของทุกปี ที่บริเวณตัวเมืองจอมทอง มีขบวนรถจากชุมชน ห้างร้าน กลุ่มต่างๆ กว่า 40 ขบวน แห่ไปตามเมืองจอมทอง อำเภอจอมทอง จนถึง วัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร เป็นประเพณีที่สืบทอดกันมานานกว่า 200 ปี ตามตำนานเกิดขึ้นที่อำเภอเภอจอมทอง ถือเป็นแห่งแรกของประเทศไทยและแห่งเดียวในโลก ประเพณีแห่ไม้ค้ำโพธิ์ กลายเป็นต้นแบบของการแห่ไม้ค้ำสะหลีของชาวล้านนา จนได้รับความนิยมไปทั่วภาคเหนือ และเป็นประเพณีที่เริ่มมีชื่อเสียงโด่งดัง และได้รับความนิยมอย่างมาก

โครงสร้างพื้นฐาน
การศึกษา
จังหวัดเชียงใหม่รับรองระบบการศึกษาตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงระดับอุดมศึกษา มีจำนวนสถานศึกษาทั้งสิ้น 1,146 แห่ง ส่วนใหญ่เป็นสถาบันการศึกษาขั้นพื้นฐาน 893 แห่ง ตามมาด้วยสถาบันการศึกษาเอกชน 140 แห่ง และมีสถาบันอุดมศึกษา 12 แห่ง มีครู/อาจารย์ 21,155 คน และนักเรียน นิสิต นักศึกษา 440,706 คน ซึ่งอัตราส่วนครู/อาจารย์ ต่อนักเรียน นิสิต นักศึกษาเป็น 1:21 นักเรียนในสังกัดส่วนใหญ่อยู่ในระดับประถมศึกษา 138,288 คน รองลงมาคือ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 75,804 คน[27]

สถาบันอุดมศึกษาในจังหวัดเชียงใหม่ ที่สำคัญมีดังต่อไปนี้

  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่
  • มหาวิทยาลัยแม่โจ้
  • มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
  • มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  • มหาวิทยาลัยพายัพ
  • มหาวิทยาลัยนอร์ท-เชียงใหม่
  • มหาวิทยาลัยฟาร์อีสเทอร์น

นอกจากนี้ยังมีวิทยาเขตของสถาบันอุดมศึกษาตั้งอยู่ในพื้นที่จังหวัด ได้แก่

  • มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เขตพื้นที่ภาคพายัพ (จอมทอง)
  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย วิทยาเขตจอมทอง
  • มหาวิทยาลัยรามคำแหง สาขาวิทยบริการเฉลิมพระเกียรติเชียงใหม่
  • มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม่
  • มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตล้านนา
  • สถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตเชียงใหม่
  • วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี เชียงใหม่

สาธารณสุข
จังหวัดเชียงใหม่มีโรงพยาบาลแผนปัจจุบัน 48 แห่ง 6,045 เตียง[27] มีบุคลากรแพทย์ 1,065 คน (สัดส่วนต่อประชากรเป็น 1: 1,540) พยาบาล 4,812 คน (1: 341) และทันตแพทย์ 359 คน (1: 13,445)

อัตราการเกิด 10.98 ต่อ 1,000 คน อัตราการตาย 8.16 ต่อ 1,000 คน และอัตราการเพิ่มตามธรรมชาติ 2.52 ต่อ 1,000 คน[27]

โรงพยาบาลของรัฐที่มีชื่อเสียงในจังหวัดเชียงใหม่ อาทิ โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ โรงพยาบาลนครพิงค์ โรงพยาบาลสวนปรุง

การขนส่ง
จังหวัดเชียงใหม่มีระบบขนส่งที่หลากหลายทั้งทางบก ทางรถไฟ และทางอากาศ โดยเชียงใหม่เป็นจุดหมายปลายทางการบินที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศและภูมิภาค เป็นที่ตั้งของท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่ มีระบบรางเข้าถึงและมีสถานีรถไฟกลาง 1 แห่งคือ สถานีรถไฟเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่มีสถานีรถโดยสารประจำทาง 3 แห่ง สำหรับการขนส่งผู้โดยสารไปยังอำเภอต่าง ๆ และจังหวัดใกล้เคียง

สาธารณูปโภคอื่น ๆ

  • ไฟฟ้า การไฟฟ้าของจังหวัดอยู่ในความรับผิดชอบของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เขตเหนือ รับซื้อกระแสไฟฟ้าจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ณ แหล่งผลิตแม่เมาะ จังหวัดลำปาง มีสถานีควบคุมการจ่ายไฟฟ้า 5 สถานี จำนวนการไฟฟ้า 32 แห่ง ในปี 2553 จำนวนผู้ใช้ไฟฟ้าทั้งสิ้น 567,201 ราย ปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ใช้ในจังหวัด 2,264.45 ล้านหน่วย สามารถให้บริการไฟฟ้าได้ครอบคลุม 25 อำเภอ สำหรับหมู่บ้าน ที่ไม่สามารถขยายเขตระบบจำหน่ายได้เนื่องจากสาเหตุหลายประการ ได้แก่ เป็นหมู่บ้าน ที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ แหล่งต้นน้ำลำธาร ลุ่มน้ำ เขตป่าอนุรักษ์ อุทยานแห่งชาติ เป็นต้น ซึ่งหลายแห่งมีการติดตั้งเครื่องผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์
  • ประปา การประปาในจังหวัดเชียงใหม่ มีจำนวน 6 แห่ง ได้แก่ การประปาเชียงใหม่ การประปาฮอด การประปาสันกำแพง การประปาฝาง การประปาแม่ริม การประปาแม่แตง มีกำลังการผลิตรวมทั้งสิ้น 54.83 ล้านลูกบาศก์เมตร ปริมาณการใช้น้ำ 25.33 ล้านลูกบาศก์เมตร มีจำนวนผู้ใช้น้ำ 112,685 ราย โดยในเขตอำเภอเมืองเชียงใหม่ มีผู้ใช้น้ำประปามากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 69.04 ของจำนวนผู้ใช้ประปาทั้งหมดของจังหวัด
  • โทรศัพท์ จังหวัดเชียงใหม่มีจำนวนเลขหมายโทรศัพท์ 305,434 เลขหมาย เป็นเลขหมายที่มีผู้เช่า 186,294 เลขหมาย มีชุมสายโทรศัพท์ 247 แห่ง
  • ไปรษณีย์ มีสำนักงานไปรษณีย์ จำนวน 37 แห่ง มีจำนวนผู้ใช้บริการ 2,467,286 ราย

กีฬา
จังหวัดเชียงใหม่มีการจัดการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติหลายครั้ง ได้แก่ เอเชียนเกมส์ 1998 และซีเกมส์ 1995 ฟุตบอลเอเชียเยาวชน 1998 และกีฬาในประเทศ ได้แก่ การแข่งขันกีฬาแห่งชาติ 3 ครั้ง การแข่งขันยกน้ำหนักยุวชนชิงแชมป์โลก ครั้งที่ 1 ซึ่งจัดในปี พ.ศ. 2552[30] และล่าสุดคือ กีฬายุวชนอาเซียน

เชียงใหม่มีสโมสรฟุตบอลอาชีพ คือ สโมสรฟุตบอลเชียงใหม่ ในเดือนตุลาคม 2549 ได้มีแถลงการเปิดบริษัทที่จะสนับสนุนฟุตบอลอาชีพ ในชื่อ “บริษัท พัฒนาธุกิจกีฬา เชียงใหม่

สถานที่ท่องเที่ยว
สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ

  • อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ อำเภอจอมทอง
  • อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย อำเภอเมืองเชียงใหม่
  • ดอยอ่างขาง อำเภอฝาง
  • เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว อำเภอเชียงดาว
  • สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ อำเภอแม่ริม
  • ดอยฟ้าห่มปก อำเภอแม่อาย
  • ออบหลวง อำเภอฮอด
  • ปางช้างแม่แตง อำเภอแม่แตง
  • น้ำพุร้อนสันกำแพง อำเภอสันกำแพง
  • น้ำพุร้อนฝาง อำเภอฝาง
  • ทะเลสาบดอยเต่า อำเภอดอยเต่า
  • ดอยม่อนจอง อำเภออมก๋อย
  • ม่อนแจ่ม อำเภอแม่ริม

สถานที่ท่องเที่ยวทั่วไป
อำเภอเมืองเชียงใหม่

  • พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์
  • สวนสัตว์เชียงใหม่
  • เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี
  • อุทยานหลวงราชพฤกษ์
  • พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงใหม่
  • ถนนคนเดิน – ที่สำคัญมีสองแห่งคือ
    • ถนนราชดำเนิน ช่วงระหว่างประตูท่าแพ ถึงวัดพระสิงห์
    • ถนนวัวลาย ช่วงระหว่างประตูเชียงใหม่ ถึงประตูหายยา
  • ถนนนิมมานเหมินท์
  • เชียงใหม่ไนท์บาซาร์

อำเภออื่น

  • หมู่บ้านผลิตร่ม บ้านบ่อสร้าง อำเภอสันกำแพง
  • ชุมชนหัตถกรรมแกะสลัก บ้านถวาย อำเภอหางดง
  • เวียงกุมกาม อำเภอสารภี
  • เวียงท่ากาน อำเภอสันป่าตอง
  • พระธาตุดอยนก อำเภอสะเมิง

Flower market Chiang mai

0
Flower market in Chiang mai a special flower market in Chiang Mai.

Flower market in Chiang mai a special flower market in Chiang Mai.

Flower market in Chiang mai. You have now at this point not investigated Chiang Mai till you have visited. ou might choose out up almost whatever from Chiang Mai markets. Aside from great purchase hunting for the flower. Here is our decision of top notch areas to save at and walk around. May be you need to go this event. The event name’s Chiang mai flower festival The Chiang Mai Flower Festival has been running for over 40 years and celebrates the beautiful flowers in bloom during this time.

 

Ton Lamyai Flower Market

Tonlamyai Flower Market is that the main spot to urge new blossoms in focal Chiang Mai and therefore it’s a really busy place, loaded up with native folks and visiting Bangkokians, who love shooting the dazzling sprouts. Blossoms are a big piece of Buddhist culture and are frequently given as a contribution at sanctuaries and holy places. you’ll likewise see laurels of recent blossoms, ofttimes with roses swinging from back read mirrors. referred to as phuang malai these are aforementioned to safeguard individuals from hurt, thus don’t be aghast within the event that you simply see a cab driver nipping out of his taxi to grab one. Chiang Mai is honored with cooler climate and consequently the assortment of blossoms on provide is great. furthermore as orchids and bush you’ll observe roses, pussy willow, chrysanthemums, lotus blossoms, and even bird of heaven, contingent upon the season.

Assuming you return throughout a celebration the blossom market in Chiang Mai are significantly a lot of occupied than expected. Showcases and flower bundles are salaried for all events – from Valentine’ Day to favorable Buddhist occasions. By a protracted shot the foremost wonderful should be Loy Krathong, once very little flower pontoons are sent off into water as owing to the waterway spirits. However, no matter whether or not you’re not here during a specific celebration, the abate proprietors can in any case be operating diligently on special stepped space manifestations for weddings or monumental wreaths for memorial services. In spite of the actual fact that you simply might not be checking out an enormous bouquet to bring home, it’ troublesome to oppose the tones additionally the} fragrance, also the amicability of the dealers. some of the slows down will enable you to assemble your own bundle that definitely adds to the experience, and at beneath 33% of the price you’d watch out of home you may come back with armfuls of blossoms!

Ton Lamyai Flower Market Location


Khamthiang Flower Market

The Kham Tiang Flower Market not simply sells bunches of howling plants and blossoms, however on the opposite hand it’ a dynamite close involvement with Chiang Mai. contemplate it an dead one resource for all of your cultivating and plant needs. Truth be told, it’s the best looking in northern Kingdom of Thailand of its sort.

The maximum extraordinary factor of purchasing right here is that the entirety is so slick and coordinated. Observing what you need a few of the many slows down and stores might be a breeze. Regardless of whether or not it is orchids, bushes, trees, or gildings and plant material, they’ll have it right here. There is part of the marketplace this is dedicated to fish, for folks who want to make a nursery lake. Stoneware and all which you need to create exceptional wellsprings to your nurseries can likewise be visible as right here.
A go to right here is so captivating at the grounds which you get to peer each one of the flowers which are neighborhood to Chiang Mai. Regardless of whether or not you’ve got got a nursery, the tones, fragrances, sights, and surfaces right here are basically magnificent. Why now no longer come to get acquainted with a few matters approximately the close by botanicals of northern Thailand? The sheer collection and quantity of the flowers you may locate right here are overpowering in a tremendous manner.

A café right here moreover invitations visitors to return back and partake in a brief chunk and rewards. It’s a touch off in an sudden path fascination in Chiang Mai, but that works the entirety out such that unique. On the off threat that you have not visible, cultivating is an critical motion for the Thais who venerate their flowers and blossoms to such an extent.

The Kham Tiang Flower Market is observed truely at the back of the Tesco Lotus Shopping Center at the super-throughway north of Chiang Mai and simply adjoining to the Jing Jai Farmers Market. It is open constantly from 9am to 6pm.

Khamthiang Flower Market Location


Sri Lan Chang Market

Sri Lan Chang Market is on Kaeo Nawarat rd., Wat Ket,  Muang district, Near San dek intersection. Chiang Mai  is observed truely at the back of the Central Festival Chiangmai and Big c Extra Chiangmai Shopping Center at the super-throughway north of Chiang Mai. If you want flowers to give to someone special. Or find fresh flowers to decorate, you can come here.

Srilanchang Market Location

Nim si seng Market

Nim si seng Market Fresh flowers are available for those who wish to bring flowers to someone special. Or join to congratulate or mourn, or bring fresh flowers to decorate the bouquet. You can find fresh flowers here until the night. Nim si seng is on Superhighway Chiangmai-Lumpang Road Faham.

Nim si seng Market Location


ยำผักเฮือด

0
ยำผักเฮือด

ผักเฮือด หรือผักเรือก หรือเฮือก เป็นผักที่มีรสเปรี้ยวและฝาด ก่อนปรุงจึงต้องนึ่งให้สุกก่อน มีวิธีการยำ นิยมนำลงผัดกับเครื่องแกงกับหมูสับ บางสูตรใส่หมูสับต้มสุก และนำมะเขือเทศลงต้มพร้อมกับเครื่องปรุงอื่นๆ (รัตนา พรหมพิชัย, 2542, หน้า 5520; สิรวิชญ์ จำรัส, สัมภาษณ์, 18 มิถุนายน 2550)

ส่วนผสม

1. ผักเฮือด 200 กรัม
2. เนื้อหมูสับ 100 กรัม
3. ข่าโขลก 1/2 ช้อนโต๊ะ
4. หอมแดงซอย 1 ช้อนโต๊ะ
5. กระเทียมเจียว 1 ช้อนโต๊ะ
6. ผักชีซอย 1 ช้อนโต๊ะ
7. ต้นหอมซอย 1 ช้อนโต๊ะ
8. พริกขี้หนูแห้งทอด 5 เม็ด
9. กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ
10. น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ

เครื่องแกง

1. พริกขี้หนูแห้ง 15 เม็ด
2. กระเทียม 10 กลีบ
3. หอมแดง 5 หัว
4. ข่าหั่น 1 ช้อนโต๊ะ
5. ตะไคร้ซอย 1 ช้อนโต๊ะ
6. กะปิ 1 ช้อนชา
7. ปลาร้าต้มสุก 1 ช้อนโต๊ะ
8. เกลือ 1/2 ช้อนชา

วิธีการทำ

  1. นึ่งผักเฮือดให้สุก นำมาหั่นให้ละเอียด พักไว้
    2. โขลกเครื่องแกงรวมกันให้ละเอียด
    3. เจียวกระเทียมกับน้ำมัน ใส่เครื่องแกงลงผัดให้หอม
    4. ใส่หมูสับ ผัดให้หมูสุก
    5. ใส่ผักเฮือดผัดให้เข้ากัน พอสุก ปิดไฟ โรยด้วยกระเทียมเจียว หอมแดงซอย พริกขี้หนูทอด และผักชีต้นหอม

เคล็ดลับในการปรุง/เลือกส่วนผสม

การเตรียมยอดผักเฮือด ให้เด็ดกลีบออก เหลือแต่กลีบสุดท้าย เนื่องจากกลีบของใบอ่อนมีรสเปรี้ยว

รายการอ้างอิง

รัตนา พรหมพิชัย. (2542). ยำผักเรือก.ใน สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคเหนือ (เล่ม 11, หน้า 5520). กรุงเทพฯ: มูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ธนาคารไทยพาณิชย์.

Credit : http://library.cmu.ac.th/ntic/lannafood/detail_lannafood.php?id_food=66

[iggetimage type=”tags” tag=”%E0%B8%A2%E0%B8%B3%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%AE%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%94″ limit=”10″]

แกงตูน

0

ภาคเหนือ แกงตูน ภาคใต้ แกงส้มปลากดต้นอ้อดิบ ภาคกลาง แกงเหลืองปลากะพงกับต้นคูน

แกงส้ม เป็นแกงที่นิยมรับประทาน มีรสเปรี้ยว เค็ม หวานนิดหน่อยใช้ผักที่มีตามท้องถิ่นนั้น ๆ ผักที่นิยมใช้แกงส้ม เช่น ผักบุ้ง ผักกระเฉดดอกแค กะหล่ำปลี หน่อไม้ดอง ฯลฯ ส่วนเนื้อสัตว์ที่นำ มาใช้กับแกงส้มมีปลา กุ้งน้ำจืดและกุ้งน้ำเค็ม บางทีก็ใช้หอยแทนกุ้ง แกงส้มเป็นแกงที่ปรุงรสสามรสน้ำแกงที่ให้รสชาติอร่อยพอดีทั้งสามรสจะทำได้ยากกว่าแกงชนิดอื่นไม่เปรี้ยวจนเกินไป หรือเค็มขึ้นหน้า หรือมีรสหวานนำควรปรุงให้กลมกล่อมทั้งสามรส แกงส้ม ใช้เครื่องปรุง โขลกกับพริกสด (จะใช้พริกชี้ฟ้าหรือพริกขี้หนูก็ได้) ละลายน้ำแกงแลวตั้งหม้อจนเดือด ใส่ปลา ลงไป (ไม่นิยมใช้น้ำแกงข้น คือ โขลกปลาลงไปด้วย)ฉีกใบ มะกรูดใส่ บีบมะนาว ใส่น้ำตาลเล็กน้อย หลังจากใส่ผัก (มักใช้ผักบุ้งต้มจนนุ่ม พร้อมกับใส่ปลา) ยกมารับประทานขณะร้อน ๆ จึงจะต้องโฉลก ข้าวสวยก็ต้องร้อน ๆ(เนื่องจากปลามีความคาว จึงต้องใส่ผิวมะกรูดโขลกลงไปด้วย บางทีก็ใช้น้ำมะกรูดผสมกับน้ำมะนาวเพื่อให้เปรี้ยวนำหน้า

เครื่องปรุง

  • เนื้อปลากะพง 1 ชาม สามารถใช้ปลาดุก ปลากด
  • พริกแกงส้มปักษ์ใต้ 2 ช้อนโต๊ะ หรือทำเอง ส่วนประกอบดังนี้ พริก กะปิ ขมิ้น กระเทียม หอมแดง ตะไคร้ และข่า
  • ตูน (อ้อดิบ หรือ ก้านคูน)หั่นเป็นชิ้น 2 ก้าน
  • ใบมะกรูด 5 ใบ
  • น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
  • น้ำซุปต้มกระดูก 1 หม้อ

วิธีทำ

  1. ล้างอ้อดิบด้วยน้ำส้มสายชูให้หมดเมือกคันแล้วสะเด็ดน้ำให้แห้ง
  2. ต้มน้ำซุปให้เดือดแล้วใส่พริกแกงส้มละลายให้เข้ากัน
  3. ใส่น้ำตาลให้ออกรสหวานนิดๆ จึงใส่อ้อดิบลงต้มจนน้ำแกงเข้าเนื้ออ้อดิบ
  4. ใส่ปลากะพงแล้วปิดฝาต้มจนน้ำเดือดจึงช้อนฟองทิ้ง (ห้ามคนเนื้อปลาน้ำแกงจะคาว)
  5. ฉีกใบมะกรูดใส่ตักใส่ชามกินกับข้าวสวยร้อนๆ

 

แหล่งที่มา : http://www.monmai.com/%E0%B8%AD%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%9A/

น้ำพุร้อนสันกำแพง

0
น้ำพุร้อนสันกำแพง ตั้งอยู่ที่ 1 ม.7 ต.บ้านสหกรณ์ อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ 50130 สถานที่เที่ยวน้ำพุร้อนที่ควบคู่กับการท่องเที่ยวเมืองเชียงใหม่

น้ำพุร้อนสันกำแพง ตั้งอยู่ที่ 1 ม.7 ต.บ้านสหกรณ์ อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ 50130 สถานที่เที่ยวน้ำพุร้อนที่ควบคู่กับการท่องเที่ยวเมืองเชียงใหม่

บ่อน้ำพุแห่งนี้มีน้ำพุพุ่งขึ้นมาจากพื้นดินนับสิบเมตร หากมาในช่วงหน้าหนาว อยากจะใช้บริการแช่ตัว แช่เท้า ดับหนาว ใกล้กับน้ำพุเค้ามีบริการบ่อน้ำร้อนให้บริการแก่นักท่องเที่ยวอีกด้วย บรรยากาศรอบๆน้ำพุห้อมล้อมไปด้วยยธรรมชาติ จัดแต่งเป็นสวนดอกไม้อย่างสวยงามกลางภูเขาธรรมชาติ มีทางเดินให้สามารถเดินชมได้โดยรอบ

เดิมน้ำพุร้อนสันกำแพง เป็นบ่อน้ำพุร้อนตามธรรมชาติที่ชาวบ้านในพื้นที่ใกล้เคียงใช้ต้มพืชผักที่เก็บจากป่าและรักษาโรคผิวหนัง ลักษณะของน้ำพุร้อนสันกำแพง เป็นแบบไกเซอร์คือลักษณะของน้ำใต้ดินที่ได้รับความร้อนจากหินเหลวความร้อนสูงส่งผ่านหินเนื้อแน่นมายังน้ำทำให้น้ำร้อนขึ้นมากๆ จนหาทางแทรกตามรอยแตกร้าวของหินและดันตัวขึ้นมายังดินเป็นน้ำพุร้อน ความสูงของของการพุ่งของน้ำพุร้อนขึ้นอยู่กับอุณหภูมิที่ทำให้น้ำมีความร้อนขนาดไหน น้ำพุร้อนสันกำแพงมีระดับอุณหภูมิจากใต้ดิน 105 องศาเซลเซียส จึงทำให้พุ่งสูงขึ้นมากกว่า 10 เมตร

ปี 2518 มีโครงการหมู่บ้านสหกรณ์สันกำแพง ตามพระราชดำริ (ปี 2524 จดทะเบียนเป็นหมู่บ้านสหกรณ์สันกำแพง)

ปี 2515-2526 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตมีโครงการสำรวจเพื่อนำความร้อนใต้พิภพมาผลิตกระแสไฟฟ้าและที่น้ำพุร้อนสันกำแพงก็เป็นแหล่งสำรวจแห่งหนึ่ง ซึ่งมีการเจาะบ่อลึกลงไปถึง 283 เมตร เพื่อการศึกษาวิจัย ผลที่ได้คือ ที่นี่ความร้อนสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้แต่ต้นทุนสูงมากไม่คุ้มกับการลงทุน จึงยกเลิกโครงการ

เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2526 คณะกรรมการโครงการหมู่บ้านสหกรณ์สันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ ประชุมกันมีมติให้ปรับปรุงพื้นที่นี้ ซึ่งมี 75 ไร่ เป็นแหล่งท่องเที่ยวภายใต้การอำนวยการและบริหารจัดการของคณะกรรมการ 2 ชุด คือ

คณะอนุกรรมการบริหารจัดการโครงการหมู่บ้านสหกรณ์อำเภอสันกำแพง ตามพระราชดำริ จังหวัดเชียงใหม่
คณะอนุกรรมการบริหารจัดการกิจการน้ำพุร้อนอำเภอสันกำแพง
ในปี 2527 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยร่วมกับสหกรณ์การเกษตรหมู่บ้านสหกรณ์สันกำแพง ร่วมทุนดำเนินการภายใต้การกำกับดูแลของคณะอนุกรรมการบริหารกิจการน้ำพุร้อนสันกำแพง แม่ออน ตามพระราชดำริ

ได้รับการปรับปรุง และดำเนินการโดยความร่วมมือระหว่างการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และสหกรณ์การเกษตรหมู่บ้านสหกรณ์สันกำแพง จำกัด เพื่อให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแบบธรรมชาติ ล้อมรอบไปด้วยภูเขา มีดอกไม้นานาพันธุ์และน้ำพุร้อนที่อุณหภูมิสูงกว่า 100 องศาเซลเซียส ตั้งอยู่ในเขต ต. บ้านสหกรณ์ อ. แม่ออน อยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 36 กิโลเมตร สามารถไปได้ 2 ทางด้วยกัน คือ เส้นทางเชียงใหม่ ? สันกำแพง ? สถานีเพาะพันธุ์กล้าไม้สัก ? น้ำพุร้อน (เส้นทางนี้จะผ่านถ้ำเมืองคอน ซึ่งอยู่ห่างจากน้ำพุร้อน 4 กิโลเมตร) หรือเส้นทางเชียงใหม่ ? สันกำแพง ? หมู่บ้านออนหลวย

ปฏิทินล้านนา 2557 ฉบับวัดธาตุคำ

0
ปฏิทินล้านนา (ฉบับวัดธาตุคำ) พุทธศักราช ๒๕๕๗

ปฏิทินล้านนา (ฉบับวัดธาตุคำ) พุทธศักราช ๒๕๕๗

จ.ศ.๑๓๗๕ – ๑๓๗๖ ปีก่าไส้ – ปีกาบสะง้า

มะเส็งเบญจศก – มะเมียฉศก

คำนวณโดย พระครูอดุลสีลกิตติ์และคณะลูกศิษย์ วัดธาตุคำ โทร.๐๕๓-๒๗๑๘๑๓

สงวนลิขสิทธิ์ โดย สำนักงานทนายความ ป.ธุกิจกฏหมาย จำกัด โทร. 089-5552336

หนังสือปีใหม่เมืองล้านนา (ฉบับวัดธาตุคำ)
ปีกาบสง้า จุลศักราช ๑๓๗๖ พ.ศ. ๒๕๕๗
(ปีมะเมีย ฉศก ปกติมาส ปกติวาร ปกติสุรทิน)
มังคลวุฒิสิริศุภมัสต จุลศักราชได้ ๒๓๒๕ ตัว ปีมะเส็งฉนำ กัมโพชพิไสย เข้ามาในคิมหันตอุตุ จิตรมาสสุกรปักษ์ ปุณณมี โสมวารโถง ไทยล้านนาภาษาว่า ปีกาไส้ เดือน ๒ ขึ้น ๑๕ ค่ำ พร่ำว่าได้วันจันทร์ ไทวันดับเหม้า ตรงกับวันที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๗ ยามนั้น ระวิสังขานต์มีตนเรื่อเรืองงามประดุจดั่งดอกบัวขาว สถิตอยู่ทิพย์วิมานมีนราศีประเทศ ที่ประดับตนด้วยเครื่องอาภรณ์วิเศษ อลังการสีดังดอกอุบลขาวผ่องแผ้ว คือว่าสีขาวงามเลิศแล้ว ประดับตนด้วยรัตนมณีแก้ววชิระ ต่างขะจอนหูและสุบขะโจมหัวก็สีขาว มีวรรณะอันเรืองรุุ่งรัศมีพุ่งงามตามีหัตถามือซ้ายถือผาลาอันแกร่งกล้ามีมือเบื้องขวานั้นก็มาถือดาบสรีกัญชัยได้กาลยามดี ยามนั้น เสด็จขึ้นขี่พญาครุฑตัวหลวงองอาจเสด็จ ยัวริยาตรจักไปสู่เมษราศี ก็ออกจากทิพย์วิมานคดีผ่องแผ้วด้วยประตูอันอยู่หนพายัพ คือ ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ แล้วเสด็จลีลาด้วยพหุพลนิกายโยธาไปสู่ทิศทัณขิณะ คือ ทิศเหนือตั่งอั้น ยามนั้นเป็นเวลายามกองงาย เวลา ๐๘ นาฬิกา ๒๐ นาที ๒๔ วินาที เป็นยามดีคนทั้งหลายจึงเรียกว่า วันสังขานต์ล่อง
กาละนั้นวาระแห่งนางวังสีหมดแล้ว ก็มายื่นไป ยังมีนางเทวดา ชื่อมโนราถือดอกไม้นามปียืนอยู่ถ้ารับเอา ปีนี้สังขานต์ไป วันจันทร์ ฝนบ่พอมีหลาย พยาธิคนจักมีมาก พืชของปลูกข้าวไร่นาดี อุบาทจักเกิดมีแก่ผู้มียศใหญ่ ท้าวพระยาพระสงฆ์เถระผู้ใหญ่จัก ร้อนใจนัก จักได้ยินข่าวร้ายหนหรดี เดือน ๓ ลมร้ายนัก เดือน ๓ ข้าวจักแพง ชารสดินพอประมาณ คนเกิดวันพุธจักมีโชคลาภ คนเกิด วันเสาร์จักมีเคราะห์ใหญ่ หื้อบูชามหาธาตุเจ้าเจดีย์และสรงน้ําพระพุทธรูป เอาไม้ไปค้ำต้นศรีมหาโพธิ จักพ้นเคราะห์ทั้งมวล
ในวันสังขานต์ไปนั้นจุ๋งหื้อพากันสระเกล้าดําหัวยังแม่น้ําทางไคว่ เอาไม้ใหญ่นอกบ้านชายคา อว่ายหน้าไปสู่ทิสะหนใต้ แล้ว เอาน้ำส้มป่อยดำหัว อาบองค์สรงเกศเกล้า ด้วยมนต์วิเศษ สรูปเภท เป็นคาถา ว่า สัพพะทุกขา สัพพะทยา สัพพะอันตรายา สัททะคะหา สัพพะอุปัทะวา วินาสันตุ ว่า ๓ หน
ปีนี้ศรีอยู่หน้าผาก กาลกิณณีอยู่นม จัญไรอยู่ปลายมือ เอาส้มป่อยเช็ตขว้างเสีย ปีนี้ผีหัวหลวงเป็นยักษ์ อยู่ทิศตะวันออก ดําหัวอย่าบิ่นหน้าไปทางทิศนั้น แล้วมานุ่งผ้าใหม่เหน็บดอกไม้นามปี ปีนี้ดอกกาสะลอง (ดอกปีบ) เป็นพญาดอกควรเอามาเหน็บ เกศเกล้ามวยผมและเหน็บไว้ประตูบ้าน ประตูเรือน เป็นมังคละ จักอยู่สุขสวัสดีชะและ
ในเดือน ๗ แรม ๑ ค่่ำพร่ำว่าได้วันอังคารตรงกับวันที่ ๑๕ เมษายนไทวันรวายสี เป็นวันปูติ คือวันเน่าปีนี้เน่าวันเดียว อย่าไปทํามงคลในวันนี้ อย่าได้วิวาทผิดเถียงเดือดด่า หื้อได้พากันขนทรายเข้าวัด กวาดช่วงไม้สรี พระเจดีย์ วิหาร จักได้พ้นเคราะห์กับตน กับบ้านกับเมือง และพระพุทธศาสนา
ในเดือน ๗ แรม ๒ ค่ํา พว่าได้วันพุธ ตรงกับวันที่ ๑๖ เมษายน ไทวันเมืองไม้ เป็นวันพญาวัน พระสุริยะอาทิตย์เสด็จ สลิดทิพยวิมานยังราษีเมษในเวลากาลได้ยามดูดซ้าย เวลา ๑๒ นาฬิกา ๐๙ นาที ๐๐ วินาที
ยามนั้นจุลศักราชขึ้นแถม ๑ ตัว เป็นจุลศักราช ๑๓๗๖ ตัว มะเมียฉนํา กัมโพชพิสัย ไทยล้านนาภาษาว่าปีกาบสง้า หื้อได้พา กันกระทําบุญหื้อทาน เจดีย์ทราย ช่อ ตุง ไม้ค้ำสรี หื้อพากันทํามังคละกับวัดวาอาราม บ้านช่อง หอเรือน และปูชาสระสรง องค์ พุทธรูปเจ้า มหาเจติยะพระธาตุ พระบฏ พระบาท ไม้สรีถึงบ้าน และอารักษ์เจนเมือง มิ่งเมือง อย่าประมาท ด้วยเหตุเคราะห์ เมืองจักมี แล้วหื้อพากันดำหัวครูบาสังฆะ พ่อเฒ่าแม่อุ้ย และพ่อแม่ เพื่อขอเดชะบารมีไว้กับตนหื้อเป็นมงคลตลอดปีอยู่สุขสวัสดี มีโชคลาภ ลุหลังถั่งมา ริมาค้าขึ้น อยู่เย็นเป็นสุขตลอด
ปีนี้เศษ ๖ ชื่อภัทระวัสสะ แมวรักษาปี ไก่รักษาเดือน หนูรักษาป่า ปลาตีนรักษาน้ำ อาฬวกะยักษ์ รักษาอากาศ กุมภัณฑ์ รักษาแผ่นดิน พระยาเป็นใหญ่แก่คนทั้งหลาย นกยูงเป็นใหญ่แก่สัตว์ ๒ ตีน ม้าเป็นใหญ่แก่สัตว์ ๔ ตีน ผักเฮือดเป็นพญาแก่ไม้ทั้ง ปวง ผีเสื้ออยู่ไม้คะเซาะ ไม้หมากซางเป็นใหญ่แก่ไม้จิง ไม้แมเป็นใหญ่กว่าไม้กลวง หญ้าดอกเลาเป็นใหญ่กว่าหญ้าทั้งมวล ขวัญเข้า อยู่ไม้เดื่อเกี้ยง ฝนกลางปีนักหัวปีหล้าปีบ่สู้มีหลาย ข้าวนาดอดี ข้าวนาปีดีปานกลาง คนเกิดปีนี้มีศีลห้า มีปัญญา แต่บ่มีข้าวของ อายุ ๗๐ จักตาย
ปีนี้นาคหื้อน้ํา ๕ ตัว บันดาลหื้อฝนตก ๕๐๐ ห่า ชื่อจันทราธิปติ ตกในมหาสมุทรและเขา สัตตบริภัณฑ์ ๒๔๗ ห่า ตกในป่า หิมพานต์ ๑๖๑ ห่า ตกในมนุษย์โลก ๔๒ ท่า ปีนี้ฝนพอประมาณ
ปีนี้เทวดาวางเครื่องประดับทิศประจิม ปาปะลัคนาอยู่ทิศพายัพ ปาปะเคราะห์อยู่ทิศอาคเนย์ ทิศเหล่านี้เป็นอัปปมงคลบ่ดีไปค้าไปศึกทิศนั้น บ่ดีทํามงคลแก่บ้านเมืองในทิศนั้น บ่ดีปกเสามงคลในทิศนั้น ดําหัวอย่าเบ่นหน้าไปทางทิศนั้น จักเสียสรีเดชะ
อดีตวรพุทธศาสนาคลาล่วงแล้วได้ ๒๕๕๖ พรรษาธิกาปลาย ๑๑ เดือน ๓ วัน นับแต่พระยาวันคืนหลัง อนาคตศาสนา อันยังจักมาภายหน้าค้างอยู่บ่น้อยแถม ๒๔๔๓ปลาย ๒๗ วัน เหตุนับแต่วันปากปีไปเอามาบวกกับกันก็เต็มห้าพันพระพรรษาถ้วนบ่มีเศษ เหตุตามฎีกาที่ มหาพิลางคสัมมิทรสีเจ้าหากวิสัชนาแต่งแปลงสืบ ๆ มา ก็ปริปุณณาแล้วแล
พระครูอดุลสีลกิตติ์ วัดธาตุคํา ตําบลหายยา อําเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
เป็นผู้ปล่านแปลงวิสัชนาแต่งแต้มทํานายพยากรณ์ตามคัมภีร์โหราเพทั้งคศาสตร์เพทล้านนา ฉบับวัดธาตุคำ

ดู>>> ปฏิทินล้านนา ปีอื่นๆ  การดูฤกษ์ยามแบบล้านนา คำแปล วิธีอ่าน >>> ฤกษ์ยาม ล้านนา วันดีวันเสีย

ปฏิทินล้านนา (ฉบับวัดธาตุคำ) พุทธศักราช ๒๕๕๗ จ.ศ.๑๓๗๕ - ๑๓๗๖ ปีก่าไส้ - ปีกาบสะง้า มะเส็งเบญจศก - มะเมียฉศก