วัดชัยศรีภูมิ ตำบลช้างม่อย อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่
ที่ตั้ง : วัดชัยศรีภูมิ 437 ถนนวิชยานนท์ ตำบลช้างม่อย อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ 50300
วัดชัยศรีภูมิ ตำบลช้างม่อย อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ วัดราษฏร์ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ตั้งวัดเมื่อ พ.ศ. 1985 ได้รับพระราชทานพัทธสีมาเมื่อ พ.ศ. 2064
วัดชัยภูมิ์ เป็นหนึ่งในวัดสำคัญของเมืองเชียงใหม่ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเชียงใหม่ วัดนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นศรีของเมืองตามหลักทักษาเมืองโบราณประเพณีเจ้านายก็ดี ประชาชนก็ดี มีความเชื่อว่า เมื่อต้องการสะเดาะเคราะห์ให้ไปท่าแม่น้ำปิง หน้าวัดชัยศรีภูมิ์ จึงจะหมดเคราะห์ภัยทุกข์โศกโรคภัยทั้งปวง และจะได้รับความสุข ไม่โศกเศร้า สมนามของวัดอีกชื่อหนึ่ง คือ วัดอโสการาม แปลว่า อารามที่ไม่เศร้าโศก และวัดนี้เคยเป็นที่ประดิษฐานพระไม้แก่นจันทน์แดงซึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศลสร้างถวายแด่พระพุทธเจ้าในสมัยพุทธกาลอีกด้วย วัดชัยภูมิ์ เป็นชื่อที่ใช้อย่างเป็นทางการในปัจจุบันแล้ว ยังมีชื่อเรียกอย่างอื่นอีก ได้แก่ วัดปันต๋าเกิ๋น วัดศรีภูมิ์ วัดอโสการาม ซึ่งแต่ละชื่อนั้นมีความหมายเฉพาะตัวและสามารถชี้ถึงความเป็นมาและความสำคัญดังนี้
วัดชัยศรีภูมิ สร้างขึ้นราว พ.ศ.1985-2000 สมัยรัชการของพระเจ้าติโลกราช กษัตริย์แห่งเมืองเชียงใหม่ ซึ่งมีทหารชื่อ ปันต๋าเกิ๋น เป็นประธานการสร้าง จึงเรียกชื่อวัดนี้ว่า วัดปันต๋าเกิ๋น ต่อมาคนทั่วไปเรียกวัดนี้ว่าวัดชัยศรีภูมิเพราะ อยู่ใกล้กับแจ่งศรีภูมิ สาเหตุที่สร้างวัด เพื่อเป็นศรีเมืองเชียงใหม่ ตามทักษาเมืองจาตุรงคทิศ ต่อมาในสมัยพระเมืองแก้ว ครองราชย์ปีจุลศักราช 883ตัวหรือพ.ศ.2064 เจ้านายผู้ครองทางภาคกลางได้ส่งราชสาสน์มายังพระเมืองแก้ว เพ่อผูกไมตรีจิตกับฝ่ายเชียงใหม่ ทั้งนี้เนื่องจาก ทางภาคกลางรู้กิตติศัพท์อันศักดิ์สิทธิ์ของพระไม้แก่นจันทร์แดง ซึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงสร้างถวายก่อนพระพุทธเจ้าจะทรงปรินิพพาน7ปี จึงได้เกิดศรัทธาความเชื่อ ความเลื่อมใสยิ่งนักปราณนาเพื่อสักการบูชา จึงส่งเครื่องสักการบูชามาถวาย 3 อย่าง คือ 1.เครื่องสักการบูชาถวายพระไม้แก่นจันทร์แดง 2. เครื่องสักการบูชาพระสิงห์ 3. เครื่องสักการะบูชาถวายพระแก้วขาววัดเชียงมั่น
วัดปันต๋าเกิ๋นเป็นชื่อรียกที่นิยมเรียกกันมาในหมู่คนที่มีอายุราวห้าสิบปีขึ้นไป มากกว่าที่จะเรียกวัดชัยศรีภูมิ์ เนื่องจากวัดปันต๋าเกิ๋นนี้มีประวัติศาสตร์ตามคำบอกเล่าของคนเฒ่าคนแก่ สืบ ๆ ต่อกันมา จนถึงในยุคปัจจุบัน ซึ่งพระครูสุธรรมาลังการเจ้าอาวาสวัดชัยศรีภูมิ์ รูปปัจจุบัน ได้รับการบอกเล่าจากคณะศรัทธาวัดชัยศรีภูมิ์เมื่อครั้งสมัยที่ท่านยังเป็นสามเณร ประมาณ ปี พ.ศ. ๒๕๒๐ มีคณะศรัทธาของวัดได้แก่ พ่อหนานหมา ช้างม่อย พ่อหนานอ่องคำ คำลือ พ่อสว่าง สุวรรณรัตน์ พ่อส่วย สุวรรณ พ่อหนานศรีโบ อรุณสิทธิ์ ได้กล่าวถึงความเป็นมาของคำว่าปันต๋าเกิ๋นดังนี้
ในอดีตกาลนานมาก ที่บริเวณนี้เป็นเมือง ๆ หนึ่งเหมือนกัน มีพระราชาปกครองบ้านเมือง วันหนึ่งพระฤๅษีซึ่งอยู่บนดอยสุเทพได้ส่องทิพยญาณลงมามองเห็นเมืองมีความแปลกประหลาดเพราะ “กลางคืนก็เป็นควัน กลางวันก็เป็นเปลว” จึงรู้ว่าอันตรายจะเกิดขึ้นกับบ้านเมืองแน่นอน ได้เหาะลงมาบอกแก่ชาวเมืองว่าอีกสามปี จะเกิดแผ่นดินไหวและเมืองถล่ม
สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะพระราชาผู้ปกครองแผ่นดินขาดทศพิธราชธรรม ตัดสินความไม่เที่ยงตรงตามความเป็นจริง พระองค์ได้ตัดสินคดีความของย่าแม่หม้ายผัวตายละคนหนึ่ง ซึ่งมีลูกเป็นคนอกตัญญูได้ตีแม่ทุกวันจนได้รับความบอกช้ำ แม่ได้เข้าปากตีกลองร้องทุกข์ขอพระราชาที่ลูกได้ตีแม่พระองค์เมื่อจะตัดสินคดีความจึงให้เสนา อมาตย์ให้หาระฆังมาด้วย ครั้นได้แล้วในวันตัดสินจึงให้เสนา อมาตย์ตีระฆังแล้วถามว่า เมื่อตีระฆังแล้วเป็นอย่างไรบ้าง ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “ม่วนดี เจ้าคะ” พระองค์จึงอาศัยเหตุ การตีระฆังนี้ตัดสินความว่า การที่ระฆังดีนั้นก็อาศัยลูกดีตีแม่จึงดังดี เหตุที่ลูกได้ตีแม่นั้นก็ไม่ผิดอะไร เพราะลูกตีแม่ก็ถือว่าลูกมีความสุขดี จึงไม่ผิดกฎหมายอันใด
หลังจากที่ตัดสินคดีความแล้วย่าแม่หม้ายก็เดินกลับบ้านจึงได้ยินเสียงคลืนโครมโกลาหลกึกก้องนางจึงได้เหลียวไปดูพบว่าปราสาทราชวังล่มลงไปในดินเป็นหนองน้ำ ณ บริเวณที่นางเหลียวมองนั้น ปัจจุบันเรียกว่าวัดนางเหลียวอยู่ในบริเวณโรงเรียนยุพราช ตรงที่ตั้งปราสาทราชวังได้จมลงไปไกลายเป็นหนองน้ำ (ปัจจุบันยังปรากฏร่องรอยอยู่เรียกว่าบ้านหนองหล่มอยู่หลังวัดด้านทิศใต้ของวัดชัยศรีภูมิ์) เหลือแต่บริเวณวัดซึ่งเป็นเกาะโผล่เหนือพ้นน้ำมา หลังจากเมืองจมหายไปแล้ว พระฤๅษีจึงอยากรู้ว่าพระราชาและชาวเมืองจมหายไปลึกมากเท่าใด จึงได้เหาะลงมาท่าน้ำเพื่อถ่อแพ (ปัจจุบันเรียกว่าท่าแพ) มายังเกาะที่เป็นที่วัดชัยภูมิ์อยู่ในปัจจุบัน และได้ใช้ “เกิ๋น” ซึ่งมีความยาวขอซี่เกิ๋นถึงจำนวนปันซี่ หยั่งลงไปในหนองน้ำแต่เกิ๋นนี้ก็หยั่งไม่ถึงที่อยู่ของพระราชาและลูกอกตัญญูได้ ลงไปถึงแค่ปลายปราสาทของพญานาคเท่านั้น เพราะพระราชาอธรรมและลูกอกตัญญูอยู่ในนรกขุมที่ลึกที่สุด จึงยากที่พระฤๅษีจะช่วยขึ้นมาได้
ต่อมาเมืองนี้ก็ได้เจริญขึ้นอีกโดยเป็นที่อยู่ของหมู่ลัวะไป พอหมดยุคของลัวะแล้วอีกยาวนาน จนกระทั้งพระญามังรายจึงเริ่มสร้างเมืองเชียงใหม่ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
ดังนั้น คำว่าปันต๋าเกิ๋น นี้จึงมาจาก ชื่อของ เกิ๋น ที่พระฤๅษีใช้หยั่งลงไปในหนองน้ำนั่นเอง
จากประวัติศาสตร์คำบอกเล่านี้ชี้ให้เห็นว่า คำว่า ปันต๋าเกิ๋น จึงเป็นชื่อที่เก่าแก่ที่สุด เพราะเป็นยุคก่อนการตั้งเมืองเชียงใหม่ในสมัยพรญามังราย
ส่วนอีกกระแสหนึ่งที่กล่าวถึง วัดปันต๋าเกิ๋น ได้สร้างโดยขุนนางระดับ “ยศนายปัน นายหมื่น” คือปันต๋าเกิ๋น เป็นผู้สร้างจึงเรียกว่า ปันต๋าเกิ๋น และสร้งในสมัยพระเมืองแก้ว (พ.ศ.๒๐๓๘-๒๐๖๘) แต่จากกการค้นหาเอกสารยังไม่พบว่าหลักฐานที่ชัดเจน ผู้สันนิษฐานอาจนำคำว่าปันต๋าเกิ๋นไปเปรียบเทียบกับวัด ซึ่งมีชื่อที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า ปัน นำหน้า เช่น ปันแหวน ปันอ้น ปันเตา มาเทียบเคียงและสันนิษฐานขึ้นมาแต่ผู้เรียบเรียงตั้งข้อสังเกตว่า คำว่า ต๋าเกิ๋น ไม่น่าจะเป็นชื่อคนได้ ดังนั้น ปันต๋าเกินน่าจะมาจากชื่อของเกิ๋นมากกว่า
วัดชัยศรีภูมิ์ หรือวัดศรีภูมิ์ ได้รับการยกย่องให้เป็นศรีเมืองเชียงใหม่ เริ่มตั้งแต่สมัยพระญามังรายตั้งเมืองเชียงใหม่ ในปี จ.ศ. ๖๒๓ หรือ พ.ศ. ๑๘๐๕ เนื่องจากบริเวณทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเชียงใหม่ถูกให้เป็นศรีของเมือง เริ่มตั้งแต่พระญามังรายปรึกษากับพระญางำเมืองและพระญาร่วงเพื่อตั้งหอนอนและคุ้มน้อยแล้ว จากตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ ได้ระบุถึงทิศนี้ว่ามีความสำคัญ ๒ ประการคือ ประการที่หนึ่งเป็นที่ตั้งอยู่ของต้นไม้นิโครธซึ่งเป็นศรีของเมืองหรือไม้เสื้อเมืองเชียงใหม่ ดังปรากฏความว่า “. . . ในขณะนั้นยังมีหนูเผือกตัว ๑ ใหญ่เท่าดุมเกวียนมีบริวาร ๔ ตัว ลุกแต่ไชยภูมิออกไพหนวันออกช้วยใต้ เข้าไพสู่รูสู่อัน ๑ ในเคล้าไม้ ผักเรือก ไม้นิโครธ ก็ว่า เป็นคำม่านว่าไม้ผิงยอง บ่ไกลแต่ไชยภูมิเท่าใด พระญาทั้ง ๓ หันหนูเผือกเป็นอัจฉริยะ จึงพร้อมใจกันเอาเข้าตอกดอกไม้ไปบูชาพระญาหนูเผือกในเคล้าไม้นิโครธต้นนั้น ด้วยเข้าตอกดอกไม้อันใส่ไตรคำ แล้วก็หื้อล้อมรักษา หื้อดี ลวดปรากฏเป็นไม้เสื้อเมืองมาต่อเท้าบัดนี้แล” (ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่, ๒๕๓๘ : ๓๔)
ประการที่สอง บริเวณนี้เป็นที่ตั้งของหนองใหญ่ ซึ่งเป็น หนึ่งในชัยภูมิเจ็ดประการของการตั้งเมืองเชียงใหม่ของพระญามังราย ความว่า “. . . อัน ๑ หนองใหญ่มีวันออกช้วยเหนือแห่งไชยภูมิได้ชื่อว่า อีสาเนน สรา นรปูชา ว่าเป็นหนองใหญ่มีหนอีสาน ท้าวพระญาต่างประเทศจักมาบูชาสักการะมากนักเป็นไชยมังคละถ้วน ๖ แล” (ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่, ๒๕๓๘ : ๓๕)
ความสำคัญของไม้ศรีเมืองหรือไม้เสื้อเมืองนี้สืบต่อกันมายาวนาน จนกระทั้งถึง การครองราชย์ของพระญาติโลกกษัตริย์ราชวงค์มังราย (ระหว่าง พ.ศ. ๑๙๘๕-๒๐๓๑) ซึ่งมีเดชานุภาพมากเป็นที่เกรงขามแก่พระญาเจ้าเมืองทั้งหลายในขณะนั้นพระญาใต้ปรัมมราชาได้ส่ง หานพรหมสะท้านและชีมล่าน มาเป็นไส้ศึกสอดแนมถึงความมีอนุภาพของเมืองเชียงใหม่เพื่อจะทำลายล้าง ดังมีข้อความว่า “. . .หานพรหมสะท้านว่า ยังมีไม้นิโครธต้น ๑ เป็นสรีเมือง ตั้งอยู่หนอีสานแห่งเมืองชะแล ว่าอั้น ชีมล่านจึงว่า ตราบใดไม้ต้นนั้นบ่ฉิบหาย เมืองเชียงใหม่ก็ยังมีอนุภาพนักแล” (ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่, ๒๕๓๘ : ๗๕)
ต่อมาแผนการของชีมล่านได้สำเร็จลงโดยการทำให้พระญาติโลกเชื่อในสิปปะคุณของตน มีการขุดปราการเวียงซึ่งพระญามังรายได้สร้างไว้แล้วถมเวียงให้ราบเพียงดี ขุดไม้ทั้งหลายออกและตัดไม้นิโครธด้วย แล้วจึงให้ตั้งบ้านเรือนบริเวณนี้แล้วปลงสะนามว่า สรีภูมิ มีการสร้งประตูดินชื่อ ประตูสรีภูมิ และขัวสรีภูมิในปีนั้นด้วย (ประมาณ จ.ศ.๘๒๘ หรือ พ.ศ. ๒๐๑๐)
ส่วนหนองใหญ่นั้นเป็นที่ช้าง ม้า วัว ควาย ลงอาบกินตั้งแต่อดีตนั้นยังเป็นแหล่งรับน้ำจากคูเมืองเชียงใหม่ ทำให้น้ำไม่ท่วมตัวเวียง หนองน้ำขนาดใหญ่แห่งนี้ยังคงปรากฏในแผนที่ พ.ศ. ๒๔๔๓ ของเจมส์ แมคคาร์ธี ที่สำรวจครั้งเตรียมโครงการทางรถไฟสายเหนือ แผนที่ พ.ศ. ๒๔๔๗ ที่สำรวจครั้งจอมพลพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงนครไชยศรีสรุเดช เสด็จพักผ่อนพายเรือ ตกปลาและเก็บผักในหนองของคนในเมืองเชียงใหม่ ที่ยังคงอยู่ในความทรงจำของคนร่วมสมัยที่มีอายุประมาณ ๕๐ ปีขึ้นไป (สมโชติ อ๋องสกุล, ผังเมืองเชียงใหม่ในฐานะเมืองประวัติศาสตร์ที่มีชีวิต, ๒๕๓๙) ปัจจุบันมีการถมที่หนองใหญ่สร้างอาคารพาณิชย์และบ้านเรือนและสร้างถนนตัดผ่านสองสายคือถนนอัษฏาธรและถนนรัตนโกสินทร์
ดังนั้นการสร้างวัดขึ้นซึ่งอยู่บริเวณตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองซึ่งเป็น ศรีเมือง เพราะเป็นที่ตั้งของไม้เสื้อเมืองและหนองใหญ่ซึ่งเป็นหนึ่งในชัยภูมิของเมืองเชียงใหม่ จึงชื่อว่าวัดศรีภูมิสอดคล้องกับพื้นที่บริเวณวัดมากที่สุด วัดชัยศรีภูมิ์ได้รับการจัดให้เป็นศรีเมืองเชียงใหม่เพราะตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองตามหลักแนวคิดทักษาเมือง คู่กับการสร้างพระอาราม ๘ แห่งของนครเชียงใหม่ ตามพงศาวดารดังนี้
ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
วัดอโสการาม (วัดชัยศรีภูมิ์) ๑ ศรี |
ทิศตะวันออก
วัดบุพพาราม ๒ มูละ |
ทิศตะวันออกเฉียงใต้
วัดชัยมงคล ๓ อุตสาหะ |
ทิศเหนือ
วัดสังฆาราม(เชียงมั่น) วัดทีฆาวสาราม (วัดเชียงยืน) ๖ เดช |
กลางเวียง
(ใจเมือง) วัดโชติการาม (วัดเจดีย์หลวง) ๙ เกตุ |
ทิศใต้
วัดนันทาราม ๔ มนตรี |
ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
วัดมาโพธาราม (วัดเจ็ดยอด) ๘ อายุ |
ทิศตะวันตก
วัดบุปผาราม (วัดสวนดอก) ๕ บริวาร |
ทิศตะวันตกเฉียงใต้
วัดตโปธาราม (วัดร่ำเปิง) ๗ กาลี |
วัดอโสการาม : ที่ประดิษฐานพระไม้แก่นจันทน์แดงครั้งแรก
วัดชัยศรีภูมิ์ ได้ปรากฏชื่อวัด อีกหนึ่งชื่อคือ วัดอโสการาม จากหลักฐานในจากชินกาลมาลีปรกณ์ ซึ่งแปลโดย ร.ต.ท. แสง มนวิทูร (๒๕๑๐ : ๑๖๕) ได้กล่าวถึงวัดชัยศรีภูมิ์ตอนหนึ่ง ความว่า
“ต่อนั้นมา พระมหาเถรธรรมเสนาบดี อัญเชิญพระพุทธรูปแก่นจันทน์นั้นมาประดิษฐานบูชาในวัดอโสการาม (คือวัดศรีภูมิ) นอกกำแพงเมือง ทางด้านทิศตะวันออกนครเชียงใหม่ท่านประพันธ์ไว้เป็นคาถาแปลความว่า “พระพุทธรูปแก่นจันทน์ มาสู่เมืองเชียงใหม่ เมื่อปีจอ จุลศักราช ๘๔๐ เมื่อมาถึงเมืองเชียงใหม่ครั้งแรก อยู่ในวัดอโสการามอันประเสริฐและอยู่ได้ ๑๕ ปี เป็นรัชสมัยของพระเจ้าพิลกครองราชย์สมบัติ”
จากหลักฐานนี้แสดงให้เห็นว่าในช่วง จ.ศ. ๘๔๐ หรือ พ.ศ. ๒๐๒๒ นั้นปรากฏว่า มีวัด อโสการาม หรือ ศรีภูมิอยู่ก่อนแล้ว อาจสันนิษฐานได้วัดศรีภูมินี้สร้างขึ้นในสมัยของ พระเจ้าพิลก หรือ สร้างในสมัยของกษัตริย์ราชวงค์มังรายก่อนหน้านี้ก็เป็นไปได้
ประวัติการสร้างวัดศรีภูมิ์ยังไม่สามารถชี้ชัดลงได้ว่าสร้างขึ้นในสมัยไหน จากข้อมูลประวัติและความเป็นมาของวัดชัยศรีภูมิ์ข้างต้น สันนิษฐานได้ว่าวัดชัยศรีภูมิ์อาจสร้างมาตั้งแต่ จ.ศ. ๖๒๓ หรือ พ.ศ. ๑๘๐๕ สมัยเมื่อพระญามังรายเริ่มสร้างเมืองเชียงใหม่ก็เป็นได้ เพราะสถานที่บริเวณนี้ได้รับการยกย่องว่า เป็นศรีเมืองตั้งแต่สมัยนั้นแล้ว และได้ชื่อว่าวัดศรีภูมิ พร้อมกับชือวัดปันต๋าเกิ๋นตามตำนานดังกล่าว
ต่อมาอีกสองร้อยกว่าปี ในปี จ.ศ. ๘๔๐ หรือ พ.ศ. ๒๐๒๒ ในสมัยพระเจ้าดิลกยังพบว่า วัดชัยศรีภูมิ์ มีชื่อปรากฏว่า วัดอโสการาม เป็นที่ประดิษฐานพระไม้แก่นจันทน์ซึ่งมาถึงเชียงใหม่เป็นครั้งแรกและอยู่ได้ถึง ๑๕ ปี
กาลต่อมาเมื่อเชียงใหม่อยู่อยู่ภายใต้การปกครองของพม่าวัดอาจมีความทรุดโทรมลงไป และได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่เมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๐ ในสมัยพระญาพุทธวงศ์ เจ้าหลวงเชียงใหม่คนที่ ๔ ซึ่งปกครองเชียงใหม่ระหว่าง พ.ศ. ๒๓๖๙-๒๓๘๙ ปรากฏหลักฐานการบูรณะซึ่งบันทึกไว้โดยครูบาโสภาเถิ้ม วัดแสนฝาง ดังนี้
จุลศักราชได้ ๑๑๙๙ ตั๋ว ปีเมืองเร้า (หรือ พ.ศ. ๒๓๘๐ ปีระกา) ฉศก เดือน ๕ เหนือแรม ๓ ค่ำ หลักจากแผ้วถางสะอาดเรียบร้อยดี พระสงฆ์เข้าปริวาสกรรมเป็นปฐมก่อนโดยการนำของ ครูบาราชครูเจ้าหรือพระราชครู
จุลศักราชได้ ๑๒๐๒ ตั๋ว ปีกดไจ้ (หรือ พ.ศ. ๒๓๘๔ ปีชวด) โทศก ออก ๑๓ ค่ำ ปกอุโบสถวัดปันต๋าเกิ๋น ชัยศรีภูมิ์นั้น
จุลศักราชได้ ๑๒๐๔ ตั๋ว ปีเต่ายี (หรือ พ.ศ. ๒๓๘๖ ปีขาล) จัตวาศก เดือน ๕ เหนือ เพ็ญฉลองอุโบสถและบวชพระนอนเจ้า วัดชัยศรีภูมิ์
จุลศักราชได้ ๑๒๐๕ ตั๋ว ปีก่าเหม้า (หรือ พ.ศ. ๒๓๘๗ ปีเถาะ) เบญจศกเดือน ๘ เหนือ ออก ๑๐ ค่ำ ปกโฮง วัดชัยศรีภูมิ์
จุลศักราชได้ ๑๒๑๘ ตั๋ว ปีรวายสี (หรือ พ.ศ. ๒๔๐๐ ปีมะโรง) อัฏฐศก เดือน ๔ เหนือ ออก ๔ ค่ำ เม็งวันพุธ ปกโฮง วัดชัยศรีภูมิ์
งานศิลปกรรม
1 พระประธานในอุโบสถ เป็นพระนอนปางไสยาสน์
2 วิการวัดชัยศรีภูมิ เป็นวิหารไม้ทั้งหลังเรียกว่า”วิหารพระเจ้าทันใจ”
3 กุฏิทั้ง4หลัง เป็นที่ประดิษฐานของพระไจยขี้เหมี้ยงหรือพระเจ้าแสนไจยและพระไม้แก่นจันทร์แดง
เจ้าอาวาสวัดชัยศรีภูมิ
พระอธิการคงทอง สุธัมโม พ.ศ.2524-ปัจจุบัน
ลำดับเจ้าอาวาสวัดชัยศรีภูมิ
ลำดับเจ้าอาวาส:
สมันราชวงศ์เม็งราย พ.ศ.1840-2101 ไม่ทราบนาม สมัยรัตนโกสินทร์ พ.ศ.2325-ปัจจุบัน พอทราบดังนี้
ครูบาราชครูเจ้า พ.ศ. 2398-2401
ครูบาโสภา พ.ศ.2402-2444
ครูบาอภิวงศ์บุญมี พ.ศ.2445-2479
พระอุ่น พระตี๊บ พระนุ พระก้ำ พระบุญจู พระบุญชื่นและอธิการเล็ก พ.ศ.2513-2516
พระอธิการ สุชิน ปสันนจิตโต พ.ศ.2518-2524
พระอธิการคงทอง สุธัมโม พ.ศ.2524-ปัจจุบัน
แผนที่วัดชัยศรีภูมิ ตำบลช้างม่อย อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่
วัดใกล้เคียงวัดชัยศรีภูมิ ตำบลช้างม่อย อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่
วัดล่ามช้าง ตำบลศรีภูมิ อำเภอเมืองเชียงใหม่
วัดเชียงมั่น ตำบลศรีภูมิ อำเภอเมืองเชียงใหม่