พระเจ้าฝนแสนห่า เป็นพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ที่วิหารวัดช่างแต้มซึ่งอยู่ติดกับวัดเจดีย์หลวง มีพุทธานุภาพดลบันดาลให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล ในปัจจุบันมีการอาราธนาพระเจ้าในแสนห่าประดิษฐานบนรถบุษบก “ศรีเมืองเชียงใหม่” แห่ไปรอบเมือง แล้วนำไปประดิษฐานไว้หน้าวิหารวัดเจดีย์หลวงติดกับวิหารอินทขิล เพื่อให้ประชาชนมาบูชาสรงน้ำตลอดระยะเวลา ๗ วัน ที่มีงานประเพณีอินทขิลและให้ถือปฏิบัติดังนี้ จุดธูปเทียนบูชาเสาอินทขิล แลกเหรียญใส่บาตรพระประจำวันเกิด ใส่ขันดอกและถือกันว่าการใส่ขันดอกควรใส่ครบทุกที่คล้ายกับการใส่บาตร แต่ใช้ห้างร้านหรือพานดอกแทนบาตรพระและใช้ดอกไม้ธูปเทียนแทนของที่เราใช้ใส่บาตร
ที่มา: เอกสารแผ่นพับงานประเพณีบูชาเสาอินทขิลประจำปี ๒๕๔๖. จัดทำโดยเทศบาลนครเชียงใหม่.
หนึ่งในพระพุทธรูปสำคัญของเมืองเชียงใหม่ที่เรามักรู้จักกันเป็นอย่างดี และพบเห็นพิธีอัญเชิญแห่รอบเมืองในวันสำคัญของเชียงใหม่ ถ้าเราไม่นับได้พระพุทธสิหิงค์และพระแก้วเสตังคมณีแล้ว ในจำนวนนี้มีชื่อของ “พระเจ้าฝนแสนห่า”
เมื่อใดที่อัญเชิญพระเจ้าฝนแสนห่าขึ้นรถบุษบก เพื่อแห่ไปรอบเมืองในวันงานสำคัญของชาวเชียงใหม่แล้วละก็ ปรากฏการณ์ที่สร้างความพิศวงบนท้องฟ้าก็มักจะเกิดขึ้น จากท้องฟ้าที่มีแสงแดดส่องสว่างกลับกลายมีเมฆคลึ้มตั้งเค้าเหมือนฝนกำลังจะตกทุกครั้งไป ด้วยอภินิหารและความศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าฝนแสนห่า จึงทำให้ประชาชนชาวเชียงใหม่ต่างเคารพกราบไหว้พระเจ้าฝนแสนห่าด้วยจิตใจศรัทธา
พระเจ้าฝนแสนห่า เป็นพระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่ที่วัดช่างแต้ม ตามตำนานมูลศาสนาได้กล่าวถึงการสร้างวัดในอดีตของเวียงเชียงใหม่ไว้ว่า “ลุถึงปีร้วงไก๊ศักราชได้ 793 เดือน 7 ดับปีกุนตรีศก พ.ศ.1974 ในปีนั้นชาวเมืองทั้งหลายพร้อมใจกันปลงพระยาสามฝั่งแกน กษัตริย์เมืองเชียงใหม่ รัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศ์มังรายให้ไปอยู่ที่เมืองยวม ในเขตจังหวัดแม่ฮ่องสอน แล้วอาราธนาลูกท่านชื่อ ท้าวลก มากินเมืองเชียงใหม่ เดือน 8 ออก 5 ค่ำ วันอังคารไทยวันเต่ายี ยามตุดเช้า ปีกุนตรีศก พ.ศ.1974 ลวดอุสสารราชาภิเษกได้ชื่อว่า อาทิตตราชดิลก ชินกาลมาลีปกรณ์ เรียกพระเจ้าศีลธรรมจักรพรรดิลก รัชกาลที่ 10 แห่งราชวงศ์มังราย และท่านรู้ข่าวว่า มหาญาณคำภีร์เถระเจ้าไปเอาศาสนาประเทศลังกามารอด ท่านก็ยินดีมากนักแล พระยาอาทิตตและมหาเทวีจึงพร้อมใจกันให้ม้าง ราชมล-เฑียรหลังเก่าไปแปลงที่มหาเถระเจ้าจักอยู่ จึงแต่งพ่อเลี้ยงท่านชื่อ ท้าวเชียงราย 1 ล้าน หมื่นสามเด็ก 1 แสน น้ำเผิง 1 เป็นเคล้าไปอาราธนาพระมหาญาณคำภีร์เถระเจ้าเป็นเก๊า แห่งสังฆะทั้งมวลแก่ลำพูนเข้ามาอยู่ได้ชื่อว่า วัดราชมณเฑียร แลลุแต่นั้นมา พระยาจึงสร้างศาสนาแถมไปมากหลาย และปีซาว สามสิบ สี่สิบ ห้าสิบหลังนับทั่วเมืองเวียงพิงค์เชียงใหม่ทั้งมวลได้ 500 อารามก็มีแล”
วัดช่างแต้ม ที่ประดิษฐานพระเจ้าฝนแสนห่านั้น สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2038 – 2069 แต่เดิมวัดนี้มีชื่อเรียกว่า “วัดช่างต้องแต้มแก้วกว้างท่าช้างพิงชัย” สร้างในสมัยของพระเจ้าติโลกราช เมื่อประมาณ 500 กว่าปีมาแล้ว ความสำคัญของวัดช่างแต้มเป็นวัดที่ประดิษฐานพระเจ้าฝนแสนห่า พระพุทธรูปที่สำคัญองค์หนึ่งของชาวเชียงใหม่ ไม่มีหลักฐานหรือเอกสารใดกล่าวถึงที่มาของพระเจ้าฝนแสนห่า ที่เหตุใดจึงมาประดิษฐานอยู่ที่วัดช่างแต้มแห่งนี้ แต่เท่าที่ทราบปรากฏว่าที่จังหวัดลำพูน ก็มีพระเจ้าฝนแสนห่าอยู่อีกหนึ่งองค์ประดิษฐานอยู่ที่วัดเหมืองง่า ซึ่งน่าจะมีความเกี่ยวพันกัน แต่ในที่นี้จะขอกล่าวถึงความสำคัญของพระเจ้าฝนแสนห่าที่ประดิษฐานอยู่ที่วัดช่างแต้ม
ตามตำนานที่พอจะสืบค้นได้กล่าวว่า “พระพุทธรูปฝนแสนห่า” หรือ “พระเจ้าฝนแสนห่า” เดิมเป็นพระพุทธรูปประจำพระองค์ของพระนางจามเทวี ซึ่งเป็นกษัตริย์ครองนครหริภุญชัย จำเนียรกาลต่อมาพระเจ้าติโลกราช กษัตริย์แห่งนครเวียงพิงค์ได้ยกทัพไปทำศึกสงครามตีเอาเมืองลำพูน และได้เผาบ้านเมืองตลอดจนถึงวัดวาอาราม ภายหลังจากที่เปลวเพลิงได้สงบลง ปรากฏเป็นอัศจรรย์คือวิหารหลังหนึ่งไม่ได้ถูกไฟไหม้ จึงเสด็จเข้าไปทอดพระเนตรภายในวิหารก็ได้พบพระแก้วขาวและพระพุทธรูปฝนแสนห่า จึงได้อัญเชิญมาประดิษฐานที่เชียงใหม่ ปัจจุบันนี้พระแก้วขาวได้ประดิษฐานอยู่ที่วัดเชียงมั่น และพระเจ้าฝนแสนห่า ประดิษฐานอยู่ที่วัดช่างแต้ม
พระเจ้าฝนแสนห่า เป็นพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์ ปางมารวิชัยเชียงแสนลังกา มีขนาดหน้าตักกว้าง 25 นิ้ว สูง 35 นิ้ว หนา 15 นิ้ว อายุประมาณ 1,000 กว่าปี ชาวเชียงใหม่ถือเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองมาตั้งแต่อดีต ในช่วงเทศกาลสงกรานต์เมืองเชียงใหม่ จะมีการอัญเชิญพระพุทธรูปสำคัญต่างๆ ของเชียงใหม่แห่ไปรอบเมือง เพื่อให้ประชาชนร่วมสรงน้ำ ในจำนวนนั้นมีพระเจ้าฝนแสนห่าเข้าร่วมพิธีด้วย
นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมได้ทุกวันที่วัดช่างแต้ม ในเวลา 8.00 -16.00 น. นอกจากนี้ยังมีโบราณสถานที่น่าสนใจอีกมากมายให้ได้ชม วัดช่างแต้ม ถ.พระปกเกล้า ต.พระสิงห์ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ 50200 โทร.053-274790
อ้างอิง : http://www.chiangmainews.co.th